“ขณะอยู่ในอ้อมกอดกระหวัดเยี่ยงนี้ อายตนะทั้งปวงของเธอระส่ำไหวดุจใบไม้ จงชำแรกสู่ความระส่ำไหวนี้”
ขณะอยู่ในอ้อมกอดกระหวัดเยี่ยงนี้ ในห้วงแห่งการผสานรวมอย่างลึกล้ำกับยอดเสน่หาของเธอ อายตนะทั้งปวงของเธอระส่ำไหวดุจใบไม้ จงชำแรกสู่ความระส่ำไหวนี้ เราถึงขนาดหวั่นเกรงเลยด้วยซ้ำ ขณะเริงโลกีย์กันนั้น เธอไม่ปล่อยให้ร่างกายเธอ ขยับเขยื้อนมากนัก เพราะหายอมให้ร่างกายเธอมีการเคลื่อนไหวมากแล้ว กามกิจนั้นจะแผ่ลามไปตลอดทั่วสรีระของเธอ เธอสามารถควบคุมมันได้เมื่อมันกระจุกรวมกัน ณ ศูนย์กามารมณ์ จิตจะยังคงสามารถควบคุมได้ ยามที่มันแผ่ลามไปทั่วสรีระของเธอ เธอจะไม่สามารถควบคุมมันได้ เธออาจจะเริ่มเนื้อตัวสั่นเทิ้ม เธออาจจะเริ่มกรีดร้อง แล้วเธอก็จะไม่มีปัญญาควบคุมร่างกายตนเองได้ ทันทีที่ร่างกาย เข้ายึดกุมบทบาท
พวกเราสกัดกั้นความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว พวกเราสกัดกั้นพัฒนาการและอารมณ์สั่นสะท้านทั้งมวลของอิสตรี พวกหล่อนอยู่กันเสมือนอยู่กันเสมือนหนึ่งร่างที่ตายซาก เธอกระทำบางสิ่งต่อพวกหล่อนพวก พวกหล่อนหาการทำสิ่งใดต่อเธอไม่ พวกหล่อนเป็นเพียงคู่พิศวาสที่คล้อยตามเท่านั้น เพราะเหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะเหตุใดผู้ชายจึงลิดรอนผู้หญิงในรูปแบบเช่นนี้กันทั่วโลก มันคือความครั่นคร้ามนั่นเอง เพราะเมื่อใดที่ร่างกายผู้หญิงมีอำนาจครอบงำ แล้วย่อมเป็นเรื่องยากยิ่งที่ผู้ชายจะสนองความพึงพอใจแก่หล่อนได้ เพราะผู้หญิงสามารถบรรลุจุดสุดยอดได้สืบกันเป็นลูกโซ่ ขณะที่ผู้ชายไม่อาจทำได้ ผู้ชายบรรลุสุดยอดได้เพียงครั้งเดียวส่วนผู้หญิงสามารถบรรลุจุดสุดยอดได้สืบกันเป็นลูกโซ่ การบรรลุจุดสุดยอดของผู้ชาย เป็นผลให้ผู้หญิงถูกปลุกเร้าและเตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุจุดสุดยอดมากไปกว่านั้น ถ้าเช่นนั้นมัน ก็เป็นเรื่องยาก ถ้าเช่นนั้น จะจัดการมันได้ฉันใดเล่า
หล่อนต้องการผู้ชายอีกคนหนึ่งโดยพลัน และการมีเพศสัมพันธ์เป็นหมู่คณะก็เป็นสิ่งต้องห้าม เราได้สร้างสังคมระบบผัวเดียวเมียเดียวทั่วโลก ดูเหมือนเราจะรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะข่มครอบผู้หญิงไว้ ฉะนั้นร้อยละ 80 ถึง 90 ผู้หญิงจึงไม่เคยล่วงรู้เลยจริงๆว่าการบรรลุจุดสุดยอดคืออะไร พวกหล่อนสามารถให้กำเนิดเด็กได้ สนองความต้องการพอใจแก่ผู้ชายได้ แต่ว่าพวกหล่อนเองหาได้เคยรู้สึกอิ่มเอมไม่ ฉะนั้น หากเธอแลเห็นความขมขื่นเยี่ยงนี้ ในตัวผู้หญิงทั่วโลก ทั้งความเศร้าสลด ขมขื่น และอับจนท้อแท้ นั่นคือเรื่องปกติธรรมดาที่หลีกเลี่ยงมิได้ ความต้องการพื้นฐานของพวกหล่อนมิได้รับการตอบสนองนั่นเอง
อาการสั่นสะเทือนนี่แหละคือความมหัศจรรย์พันลึก เพราะเมื่อเธอมีอาการสั่นสะท้านในขณะเรื่องเริงรักพลังจะเริ่มไหลทะลักไปทั่วร่างกาย พลังจะไหวสะท้านไปตลอดทางสรีระ ทุกๆเซลล์ของร่างกายจะมีส่วนร่วมในขณะนั้น ทุกๆเซลล์จะบังเกิดชีวิตชีวา เพราะทุกๆเซลล์คือเซลล์กามารมณ์
ยามที่เธอถือกำเนิดขึ้น เซลล์กามารมณ์ทั้งสองจะเข้าบรรจบกันและชีวิตของเธอก็ถูกเสกสร้างขึ้นร่างกายเธอก็ถูกเสกสร้างขึ้น เซลล์กามารมณ์ทั้งสองนั้นสถิตอยู่ทั่วทุกแห่งในร่างกายเธอ พวกมันทวีปริมาณมากขึ้นทุกขณะ ทว่าหน่วยพื้นฐานของเธอยังคงเป็นเซลล์กามารมณ์อยู่นั่นเอง ยามเธอมีอาการสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย มันหาใช่เพียงการบรรจบกันของเธอกับยอดเสน่หาเท่านั้น ในตัวเธอเซลล์แต่ละเซลล์ก็กำลังบรรจบกับเซลล์ตรงข้ามเช่นกัน อาการสั่นสะท้านนี้บ่งชี้ถึงมัน มันจะดูประหนึ่งสัตว์เดรัจฉาน ทว่ามนุษย์ก็คือสัตว์เดรัจฉานนั่นแหละ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยในจุดนี้
ดังพระสูตรกล่าวว่า”ขณะอยู่ในอ้อมกอดกระหวัดเยี่ยงนี้อายตนะทั้งปวงของเธอระส่ำไหวดุจใบไม้.....”สายลมแรงพัดกระหน่ำ ต้นไม้จนเอนไหว แม้กระทั่งรากไม้ก็โยกโคลง ใบไม้ทุกใบล้วนสะบัดพริ้ว จงเป็นเช่นต้นไม้นี่แหละ สายลมแรงกำลังพัดกระหน่ำ และกามารมณ์ก็คือสายลมแรงคือพลังอันแรงกล้าที่กระหน่ำพัดผ่านตัวเธอ จงสั่นสะท้าน ไหวเร่า ให้ทุกๆเซลล์ของร่างกายเธอได้ยักย้ายส่ายพริ้ว และสภาพเช่นนี้ควรเป็นสำหรับทั้งคู่ คู่เสน่หาของเธอก็เริงร่ายส่ายระบำเช่นกันทุกๆเซลล์ล้วนไหวระริกโดยทั่วหน้าเช่นนั้นแหละ เธอทั้งคู่จึงจะมาบรรจบกันได้ เมื่อนั้นการบรรจบกันดังกล่าว ย่อมไม่ใช่เรื่องของจิตใจ มันคือการบรรจบกันของพลังทางชีวภาพของเธอ
จงชำแรกสู่ความสั่นสะท้านนี้ และขณะสั่นสะท้าน จงอย่าวางตัวให้เหินห่าง อย่าทำตัวเป็นผู้เฝ้ามอง เพราะจิตนั้นคือผู้เฝ้ามอง อย่าได้แยกยืนอยู่ห่างๆ จงเป็นความสั่นสะท้าน กลับกลายเป็นความสั่นสะท้านเสีย ลืมเลือนทุกสิ่งให้หมดสิ้นและกลับกลายเป็นความสั่นสะท้าน มันหาใช่ว่าร่างกายเธอกำลังสั่นสะท้านไม่ มันคือเธอ คือภาวะทั้งมวลของเธอ เธอกลับกลายเป็นความสั่นสะท้านเอง ถึงเวลานั้น สิ่งที่คงอยู่ย่อมมิใช่ร่างกายทั้งสอง มิใช่จิตทั้งสอง ณ จุดเริ่มนั้น มีพลังอันสั้นระรัวอยู่สองสาย และในบั้นปลาย ก็มีเพียงวงกลมวงนึงไม่ใช่สอง
จะเกิดอะไรขึ้นกับวงกลมที่ว่านี้ ประการแรก เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังการดำรงอยู่ มิใช่จุดมุ่งหมายทางสังคม ทว่าเป็นพลังแห่งการดำรงอยู่ เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของมวลจักรวาล ในห้วง สั่นสะท้านดังกล่าว เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของมวลจักรวาล ชั่วขณะนั้นคือการรังสฤษดิ์อันยิ่งใหญ่ร่างกายอันเป็นตัวเป็นตนของเธอได้สลายกลายกลืน เธอกลายสภาพเป็นของเหลว ไหลพรั่งพรูสู่กันและกัน จิตใจถึงคราดับสลาย การแบ่งแยกถึงกาลสิ้นสูญ เธอเปี่ยมด้วยความเป็นเอกภาพ
สิ่งนี้ก็คืออทวิภาวะ หากเธอไม่สามารถรู้สึกถึงอทวิภาวะนี้ได้แล้ว เมื่อนั้น ปวงปรัชญาที่ว่าด้วย
อทวิภาวะย่อมไร้ค่า มันจะเป็นเพียงถ้อยคำเท่านั้น ยามใดที่เธอล่วงรู้ถึงขณะแห่งการดำรงอยู่ที่ ไม่แบ่งแยกเป็นสอง นั่นแหละ เธอจึงจะสามารถเข้าใจอุปนิษัทได้ นั่นแหละ เธอจึงจะสามารถเข้าใจรหัสยธาลินทั้งหลายได้ ว่าท่านเหล่านั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เมื่อกล่าวถึงเอกภาพอันไพศาลไร้ที่สิ้นสุดหรือบูรณภาพเมื่อนั้นเธอยังไม่เหินห่างจากโลกนี้หรือแปลกแยกกับมัน เมื่อนั้น การดำรงอยู่ย่อมกลายเป็นนิวาสสถานของเธอ และด้วยความรู้สึกที่ว่า”บัดนี้ได้แนบสนิทกับภาวะการดำรงอยู่”ความกังวลทั้งหลายจึงสูญสิ้นไปเมื่อนั้น ย่อมปราศจากความทุกข์ทรมาน และการได้ดิ้นรนไขว่คว้า และความขัดแย้ง นี่คือสิ่งที่เราจะเหล่าจื่อเรียกว่าเต๋า หรือสิ่งที่ศังกราจารย์ขนานนามว่า
อไทวตะ เธอจะเลือกใช้ถ้อยคำของเธอสำหรับเรียกขานมันก็ได้ไม่ขัดข้อง ทว่าด้วยอาศัยอ้อมกอดแห่งรักอันลึกล้ำ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกถึงมัน ทว่าจงมีชีวิตชีวา จงสั่นสะท้าน และกลับกลายเป็นความสั่นสะท้านด้วยตัวมันเอง
โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่
คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 3
The book of the secrets
( หน้า 15-19)
Sabaidee Journey Quote No.11
#sabaideejourneyquote