NEWS

จิตวิญญาณ ภควัทคีตา "ศรัทธา 3 ประการ" | Sabaidee Journey Quote EP 15

25 Mar 2021

ศรัทธา 3 ประการ
 

ศรีภควันกฤษณะตรัส:

ธรรมชาติศรัทธาของมนุษย์มี องค์สาม- สัตตวะ รชะ และตมะ เจ้าจงฟัง

 

ศรัทธาของมนุษย์เป็นไปตามจริตที่ติดตัวมา จริตนิสัยกำหนดรูปแบบชีวิตของเขา ศรัทธาเขาเป็นเช่นใดชีวิตเขาเป็นเช่นนั้น อย่างแน่แท้ 

 

ผู้มีสัตตวคุณ บูชาเทวดา

ผู้มีรชคุณ บูชายักษ์และรากษส

ส่วนผู้มีตมคุณ บูชาเปรตและภูตผี

 

ผู้มีสัตตวคุณ หรือ คนดี บูชาเทพยดา ผู้มีคุณลักษณะฝ่ายจิตวิญญาณ

 

ผู้มีรชคุณ หรือชาวโลก ถืออารมณ์เป็นใหญ่ บูชายักษ์( วิญญาณผู้ปกป้องดูแลทรัพย์ )และรากษส(มารในโลกทิพย์และยักษ์ร้ายผู้มีพลังอำนาจ)

ผู้มีตมคุณ หรือ คนโง่ ไร้ปัญญา บูชาเปรต (วิญญาณของคนตาย) และภูตผีปีศาจ

มนุษย์แต่ละประเภทนี้ แสดงธรรมชาติแท้จริงของตนอย่างไม่อาจเลี่ยง ทำให้รู้ได้ว่าเขาเป็นคนประเภทใดและจิตฝักใฝ่ไปทางใด ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

คนมี”ศาสนา”หรือไม่ ไม่ใช่ดูที่การบูชาตามพิธีกรรม แต่ต้องดูธรรมชาตินิสัยของเขา ไม่มีมนุษย์คนใด“บริสุทธิ์” สมบูรณ์พร้อม สัตตวคุณ รชคุณ และตมคุณ จะปรากฏในโอกาสต่างๆกัน แต่คุณใดคุณหนึ่งจะเด่นชัดในชีวิตของเขา ซึ่งจะบอกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาวิวัฒน์ไปถึงท่านขั้นใด

ภควันกฤษณะจึงตรัสว่า “ศรัทธาเขาเป็นเช่นใด ชีวิตเขาเป็นเช่นนั้น อย่างแน่แท้ “ มนุษย์ทุกคนชีวิตตามกฏธรรมชาติของตน ผู้ศรัทธาจึงอยู่บนวิถีใดวิถีหนึ่งในสามวิธีนี้

ผู้มีปัญญา มีสัตตวคุณ กำหนดชีวิตของตนตามแบบแผนแห่งสวรรค์จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามเขาย่อมได้รับความช่วยเหลือจากปวงเทพซึ่งพระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำหน้าที่อันสูงยิ่งในโลกแห่งปรากฏการณ์

ชาวโลกผู้มีรชคุณ ผู้ผู้ถืออารมณ์เป็นใหญ่ ใฝ่ในทรัพย์และอำนาจ จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาบูชายักษ์และรากษส - ตัวแทนความโลภ ความหยาบช้าและความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว

จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ผู้มีตมคุณ หรือคนโง่บูชาเปรต (วิญญาณของคนตาย)และภูตผีปีศาจความเกียจคร้านเฉื่อยชา ความโง่ การยึดติดผัสสอินทรีย์ เชื่อไสยศาสตร์อำนาจสิ่งนอกกาย ไม่หวังพึ่งความพยายามของตน บุคคลเช่นนี้ ไม่อาจขึ้นสู่ความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นทาสอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและไม่อาจควบคุม

โศลกนี้ ชี้ให้เห็นว่า วิถีต่ำที่สุดคือ” การบูชาวิญญาณคนตาย” โดยทั่วๆไปแล้ว คำนี้มีนัยหมายถึงความไร้ค่าของตมคุณ ที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์เหมือน” ความตาย” ผูที่ยอมเป็นทาสของนิสัยต่ำทราม ความเหนื่อยหน่าย สิ้นหวัง ไม่สนใจขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดสิ้นในวิญญาณตน คือผู้บูชาความลึกลับดำมืดของ”วิญญาณคนตาย”

หลายคนคิดอย่างผิดๆ ว่า”คนตาย” ผู้ออกจากกายนี้ไปอยู่ในโลกทิพย์ สามารถติดต่อกับครูอาจารย์ผู้ประเสริฐ หรือตัวคนตายนั้นเองเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง แต่ในความเป็นจริงนั้น กายทิพย์ทั้งหลายไม่ใช่คนนำสารที่จะวางใจได้ พวกเขายังไม่หยั่งเห็นพระองค์ผู้ทรงความเร้นลับอย่างยิ่งวิญญาณมีทิพยอำนาจ แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่หยั่งรู้วิญญาณ เมื่อตายไปเขาก็ไม่สามารถแสดงทิพยอำนาจ นั้นได้มากกว่าที่เค้าเคยแสดงเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ในโลก ผู้รู้แจ้งขณะยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะมีอำนาจทิพย์นี้เมื่อเขาตายไป นั้นคืออำนาจที่รวมกับพระเจ้าและให้แสงสว่างแก่คนอื่นๆต่อไป

คนที่หวังพึ่งคำแนะนำจาก”วิญญาณคนตาย” คือคนโง่ คนพวกนี้ที่เชื่อคำแนะนำของกายทิพย์แทนที่จะแสวงหาการรวมกับพระเจ้าหรือพระบิดาบนสวรรค์ ผู้ทรงเป็นมิตรกับทุกคน เมือมีพระองค์ทรงช่วยแล้วจำเป็นอะไรที่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากกายทิพย์

ปกติวิญญาณที่หลุดพ้นจะไม่อยู่ในโลกกายทิพย์ ซึ่งเป็นสถานพำนักของผู้ที่เพิ่งจากโลกไปและยังต้องเรียนรู้อีกมาก ปรมาจารย์จะไม่ขังตนไว้ที่นั่น ท่านอยู่กับพระองค์ผู้ทรงสถิตย์ทั่ว แม้ว่าบางท่านอาจปรากฏในฐานะพระผู้ไถ่ อยู่ในโลกทิพย์

ในบรรดาผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้น จะมีบรมครูหรือผู้สั่งสอนฝ่ายจิตวิญญาณ ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้ช่วยมนุษย์อย่างลับๆ เงียบๆ ไม่จำเป็นจะต้องมี” คนทรง” หรือตัวแทน ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้แสวงหาที่หวังความช่วยเหลือ ท่านเหล่านี้จะคอยช่วยผู้ภักดีโดยตรง ผู้ภักดีจะรู้หรือไม่ว่าใครช่วยเหลือตนนั้นไม่สำคัญ แต่เขาเข้าใจว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองดีขึ้นทั้งภายนอกภายใน เสียงแหลมที่ไหลหลั่งพรั่งพรูจากกายทิพย์ทั่วๆไป ที่เรียกตัวเองว่าเป็น”อาจารย์ของมนุษยชาติ” โดยผ่านคนทรง ไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนจิตวิญญาณของมนุษย์

คนทรงทั้งโดยอาชีพและสมัครเล่น ที่ยังไม่หยั่งรู้พระเจ้า ไม่สามารถ” ปรับคลื่น”ได้สูงไปกว่าโลกทิพย์ทั่วไป พวกเขาไม่สามารถเลือกมุนี/นักบุญ ผู้หยั่งรู้พระเจ้า เพื่อขอฟัง”ทัศนะ”เกี่ยวกับเรื่องต่างๆเช่น ใครๆก็ไม่อาจเลือกตัวทิพยบุคคล ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ผู้ทรงสกลภาวะมาบรรยายประจำสัปดาห์ โดยผ่านคนทรงบนโลกนี้ ภควัทคีตาชี้ว่าจิตมนุษย์ที่มืดมน คิดหยาบๆคิดผิดๆ เกี่ยวกับแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นบาป การงานของอาจารย์บนโลกนี้ต่างกับการงานของท่าน ในโลกทิพย์และโลกเหตุถ้ากิจกรรมและอิทธิพลในโลกกายหยาบจำเป็นต่อการวิวัฒน์ของมนุษย์ พระเจ้าคงไม่สร้างสามโลกที่แตกต่างกันอย่างแน่แท้

เมืออยู่ในกายหยาบนี้ ครูบาอาจารย์จะใช้การแสดงออกที่ปรากฏ เพื่อให้ผู้คนที่อย่างจำกัดคับแคบการรับรู้และยอมรับได้ง่ายๆ แต่การงานทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้นไปเพื่อโลกและเพื่อผู้ภักดีมิใช่เป็นสิ่งที่จะเห็นได้ทั่วไป แต่ผู้มีจิตบริสุทธิ์สัมผัสได้ และนั่นคือคำแนะนำและพรแท้จริงจากครูบาอาจารย์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณยังคงทำงานอยู่ภายในธรรมชาติ ที่เป็นทิพย์และเหตุของมนุษย์ และแสดงออกในโลกวัตถุที่เขาอยู่นี้ และแม้เมื่ออาจารย์ไม่ได้ถูกบังคับให้อยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดแล้วแต่ความช่วยเหลือในรูปแบบที่เปลี่ยนไปของท่านยังคงอยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ไม่ลดตัวและประสิทธิภาพทางจิตวิญญาณของท่านไปแสวงหาหรือแสดงออกผ่าน”คนทรง” เมื่อได้มอบทิพยสารจากพระเจ้าไว้เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ขณะที่ยังอยู่ในโลก ท่านจึงไม่มีแง่คิดอะไรหลงเหลือที่จะต้องนำมาเปิดเผยผ่าน” คนทรง” แต่เมื่อผู้ภักดีพยายามยกจิตของตนด้วยตนเองในสมาธิ สู่โลกบริสุทธิ์ของนักบุญและทวยเทพ เขาจะรู้เห็นผ่านสหัชญาณอันอัศจรรย์ ทั้งการปรากฏและคำชี้แนะจากผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณซึ่งพระเจ้าผู้ทรงเมตตาได้ประสิทธิ์ประสาทพระศิริและมอบอำนาจให้

โลกทิพย์ (ซึ่งมีพลังสั่นสะเทือนมากน้อยแตกต่างกันไปในหลายภพ) เป็นที่อยู่ของคนดี คนธรรมดา และคนเลว ไม่ต่างจากโลกนี้ ที่เราพบทั้งความดีและความเลวในมนุษย์ บุคคลใดเปิดใจรับทุกสารจาก” วิญญาณภูตผี” ไม่อาจบอกได้ว่าเขากำลังติดต่อกับโลกทิพย์ลักษณะใด การรับทุกพลังสั่นสะเทือนย่อมเสี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับ”คนพาล” เขาอาจหมกมุ่นอยู่กับปรากฏการณ์โลกทิพย์ชั้นต่ำ จนไม่เกิดความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายพึงประสงค์ นั่นคือการเห็นแจ้งภายใน หรือ การช่วยวิญญาณให้หลุดพ้น

คนเราถ้าปล่อยจิตว่างไว้เฉยๆ”วิญญาณเร่ร่อน” หรือสัมภเวสีนับล้านๆ ที่เร่ร่อนอยู่ทั่วไปอาจเข้ามาสิงในตัวเรา เพราะวิญญาณเหล่านี้ต้องการกลับมาเกิดใหม่ แต่กรรมชั่วที่ทำไว้ทำให้พวกเขาไม่อาจกลับมาเกิดได้เร็ว ตามความประสงค์ พวกเขาจึงเที่ยวมองหาคนปัญญาน้อยโง่เขลา เพื่อจะได้เข้ามาสิงในร่างมนุษย์นั้น จะได้เป็นตัวเป็นตนสมใจ วิญญาณเช่นนี้สามารถเข้าไปสิงในจิตที่ว่างเปล่าได้เร็วมาก ถ้าบุคคลที่อ่อนแอเฉื่อยชา พยายามจะติดต่อกับวิญญาณคนตาย เขาอาจกลายเป็นเหยื่อของวิญญาณเร่ร่อนได้โดยง่าย วิญญาณร้ายจะทำร้ายจิตใต้สำนึกของเขา

ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลปฏิบัติเทคนิคการรวมกับพระเจ้าได้ ค้นพบและพัฒนา จิตของเขาจะไม่ว่างเปล่า วิญญาณเร่ร่อนจะเข้ามาไม่ได้ การปฏิบัตินี้ก้าวล้ำนำหน้าโลกทิพย์ พัฒนาอธิจิตสำนึกของมนุษย์ด้วยการยกจิตสู่ศูนย์พระคริสต์ที่หน้าผาก ซึ่งวิญญาณเร่ร่อนใดๆ ไม่อาจกล้ำกลายเข้าไปได้ ด้วยอภิจิตสำนึกนี้เองที่เขาจะได้พบมุนีและอาจารย์ที่แท้ ท่านเหล่านี้มีแสงรัศมีรอบกายใครก็ตามที่เห็นท่านจะรู้ได้ด้วยสหัชญาณ ว่าท่านเหล่านั้นเป็นมหาวิญญาณที่แท้จริง

บุคคลไม่ควรเข้าไปสู่โลกของวิญญาณภูตผี ถ้าเขาไม่มีอำนาจจิตที่จะควบคุมโลกนั้นได้ และอำนาจที่ว่านี้จะได้มาก็ด้วยกันรวมกับพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงสร้างวิญญาณทั้งหลาย เมื่อผู้ภักดีปรับจิตเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว ถ้าเขาต้องการจะเห็นหรือสนทนากับคนที่ตายไปแล้ว พระเจ้าจะส่งคนนั้นมาให้ได้พบ

โยคีให้ความสำคัญกับการเพ่งคิดถึงพระเจ้า ไม่สนใจความคิดอื่นๆ เพื่อการเข้าถึงพลังสั่นสะเทือนสูงสุดที่ทำให้ผู้แสวงหาสามารถหลีกเลี่ยงโลกทิพย์ชั้นต่ำและไปรวมกับพระเจ้าในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่นสันติสุข หรือ เสียงจักรวาล (โอม) หรือ แสง และถ้าบุคคลนั้นก้าวหน้ามาก เขาอาจเห็นนักบุญหรือมุนีมาปรากฏจริงก็ได้

ผู้ภักดีที่ได้สมาธิลึกสามารถไปถึงภพสูงๆ ที่พำนักของท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย และนี่คือเป้าหมายของเทคนิคการหยั่งรู้ตนที่อินเดียสอนมาแต่โบราณ การปฏิบัติเช่นนี้ช่วยให้โยคียกจิตของท่านรับพลังสั่นสะเทือนที่ละเอียดยิ่ง เมื่อพระเจ้าและอาจารย์ผู้หลุดพ้นมาช่วยท่าน เทคนิคนี้ทำให้ผู้ภักดีรู้ได้อย่างปลอดภัย ว่าเบื้องหลังชีวิตทั้งปวงคือบรมวิญญาณ

ผู้สำเร็จย่อมเป็นนายเหนือจิตและเจตจำนงของท่าน ส่วนผู้ที่เชื้อเชิญวิญญาณภูตผี และผู้ที่ยอมให้ผู้อื่นสะกดจิต (ควบคุม)ตนนั้น สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้จิตเจตนาที่พระเจ้าประทานมาให้เพื่อการล้างบาป ต้องกลายเป็นทาส

และต่อให้บุคคลนั้นไม่พบกับชาวโลกทิพย์”ที่มีจิตเมตตา” แม้ผู้สะกดจิตพยายามจะช่วยเหลือเขาแต่ข้อเท็จจริงก็คือเค้ายอมให้คนอื่น ไม่ว่าชาวโลกนี่หรือโลกทิพย์ เข้ามาควบคุมจิตสำนึกของเขา ซึ่งเป็นอันตราย เพราะมันไม่ช่วยให้จิตวิญญาณของบุคคลก้าวหน้า ไม่มีประสบการณ์จริงกับพระเจ้า ซึ่งพึงเป็นเป้าหมายประการเดียวของมนุษย์

ภควัทคีตา 

 บทที่ 17 โศลกที่ 1-4 หน้า 1049-1056
Sabaidee Journey Quote No.15
#sabaideejourneyquote