คัมภีร์แห่งความเร้นลับ/ ( the book of the secrets )
ว่าด้วยการทำสมาธิ 112 วิธีของพระศิวะ
พระสูตรที่ 2
“จงสดับฟังเมื่อได้รับการถ่ายทอดหลักธรรมอันสูงส่งเร้นลับ
นัยน์ตาแน่วนิ่งไม่กระพริบไหวย่อมถึงพร้อมด้วยอิสระในบัดดล “
............................................................
นี่คืออุบายวิธีเร้นลับ ในแนวทางรหัสยตันตระ ผู้เป็นครูบาอาจารย์จะถ่ายทอดคำสอน
เคล็ดวิชาหรือมนตราเป็นการลับ เมื่อใดที่สานุศิษย์พร้อม มนตราหรือหลักธรรมเร้นลับขั้นสูงสุดก็จะถูกแย้มพรายหรือส่งทอดให้เขาเป็นการเฉพาะโดยกระซิบผ่านโสตทวารของเขาเท่านั้น
อุบายวิธีนี้เกี่ยวพันกับการกระซิบกระซาบดังกล่าว “จงสดับฟังเมื่อได้รับการถ่ายทอดธรรมอันสูงส่งเร้นลับ”
เมื่อครูบาอาจารย์ลงความเห็นว่า บัดนี้เธอพร้อมแล้ว และได้เวลาถ่ายทอดความเร้นลับแห่งประสบการณ์ของท่านออกมาให้รับรู้ เมื่อลุถึงชั่วขณะที่ท่านสามารถจะเอ่ยในสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยถึงแก่เธอได้ เมื่อนั้นแหละจึงต้องใช้อุบายวิธีนี้” แนวนิ่งไม่กระพริบไหว ย่อมถึงพร้อมด้วยอิสระในบัดดล” เมื่อคุรุหรืออาจารย์กำลังเผยแย้มความเร้นลับของท่านกระซิบผ่านโสตทวารของเธออยู่นั้น จงสะกดตรึงดวงตาไว้ให้แนวนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหว นั่นหมายถึงว่าจิตใจพึงสงบเงียบ
ปราศจากการคิดคำนึง
ไม่มีการกระพริบตา ไม่มีแม่อาการไหววูบเพียงเล็กน้อย เพราะนั่นย่อมสแสดงถึงความว้าวุ่นภายในจิตใจ เพียงปล่อยวางโสตทวารให้ว่างเปล่า ปราศจากการเคลื่อนไหวภายใน จิตสำนึกเพียงเฝ้ารอปฏิสนธิขณะอยู่เท่านั้น ขอเพียงทำใจให้เปิดกว้าง น้อมรับและคล้อยตาม ไร้ซึ่งกิจกรรมการเคลื่อนไหวในส่วนของมัน และเมื่อสิ่งนี้จะปรากฏขึ้น ชั่วขณะที่ว่านี้ แล้วเธอมีจิตที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ไม่ครุ่นคิดสิ่งใดเลย แต่ว่าเพียงเฝ้ารออยู่เท่านั้น มิใช่เฝ้ารออะไรบางอย่างเพราะหากเป็นเช่นนั้นมันจะกลายเป็นการครุ่นคิด นี่ใช่เฝ้ารออะไรอย่าง แต่แค่เฝ้ารอเฉยๆ เท่านั้น
เมื่อชั่วขณะอันสถิตนิ่งไร้แรงขับเคลื่อนดังกล่าวจะปรากฏขึ้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้หยุดชะงักลงกล่าวคือการเวลาไม่ไหลเวียนไป และดวงจิตก็ว่างเปล่าอย่างบริบูรณ์ กลายเป็น”สภาวะไร้ใจ” คุรุจะถ่ายทอดได้เฉพาะในยามที่เข้าสู่สภาวะไร้ใจเท่านั้น
คำพูดคำเดียว สองคำสามคำเหล่านั้น จะหยั่งชำแรกเข้าสู่แก่นแท้ สู่ใจกลางของเธอและกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ฝังตัวอยู่ที่นั่น ในห่วงแห่งการตระหนักรู้ที่นิ่งเฉย ในห้วงแห่งความสงัดเงียบนี้” ย่อมถึงพร้อมด้วยอิสระในบัดดล “
เราจะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่ออยู่พ้นการควบคุมบงการของจิตใจ หามีอิสรภาพอื่นใดนอกเหนือจากนี้ไม่ อิสรภาพจากจิตใจนั้น คืออิสรภาพเพียงหนึ่งเดียว จิตนั้นคือพันธนาการ คือการยอมค้อมหัวเยี่ยงทาสรับใช้ ฉะนั้นสานุศิษย์จึงต้องเฝ้ารอช่วงขณะอันสุกงอมไปพร้อมกับผู้เป็นอาจารย์ ในยามที่ท่านจะเรียกหาเพื่อถ่ายทอดหลักทำให้ ไม่ต้องไปรบเร้าท่าน เพราะการรบเร้าหมายถึงความปรารถนา ไม่ต้องคาดหวังอะไรจากท่าน เพราะความคาดหวังหมายถึงเงื่อนไข ความทะยานอยากหรือจิตใจ เพียงแต่เฝ้ารอท่านก็พอ และเมื่อใดที่ท่านพร้อม เมื่อใดที่การรอคอยของท่านดำเนินไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้เป็นอาจารย์ย่อมสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้
บางครั้งผู้เป็นอาจารย์ก็อาจกระทำในสิ่งต่างๆ ไม่สลักสำคัญอะไรเลย และสิ่งนี้ก็จะปรากฏขึ้นอันอนึ่ง เป็นธรรมดาว่า มาตรแม้นพระศิวะจะตรัสถึงอุบายวิธีทั้ง 112 ข้ออย่างไม่หยุดยั้ง
ก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เพราะไม่มีการตระเตรียมความพร้อมในจุดนั้น
เธอสามารถโปรยพันธ์ุ ลงบนก้อนหินก้อนกรวดได้ แต่ว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ความบกพร่องหาอยู่ที่เมล็ดพันธุ์ไม่ เธอสามารถหวานเมล็ดพันธุ์นอกฤดูกาลได้ เพราะว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ความบกพร่องนั้นมิได้อยู่ที่เมล็ดพันธุ์ สิ่งที่จำเป็นก็คือ ฤดูกาลที่เหมาะสม จังหวะเวลาอันเหมาะสม ตลอดจนผืนดินที่เหมาะควรแก่สภาพ เช่นนั้นแหละ เมล็ดพันธุ์จึงจะมีชีวิตและเกิดการกลายสภาพขึ้น
โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่
คัมภีร์แห่งความเร้นลับ เล่ม 2
The book of the secrets
( หน้า 142-146 )
Sabaidee Journey Quote No.7
#sabaideejourneyquote