NEWS

จิตวิญญาณ คัมภีร์แห่งความเร้นลับ "จิตวิญญาณแห่งตันตระประเวณี" | Sabaidee Journey Quote EP 10

08 Mar 2021

บทนำพระสูตร  จิตวิญญาณแห่งตันตระประเวณี

 

คัมภีร์แห่งความเร้นลับ/ ( the book of the secrets )

ว่าด้วยการทำสมาธิ 112 วิธีของพระศิวะ

 

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ กล่าวว่า มนุษย์เกิดมามีอาการทางประสาท นี่เป็นความจริงครึ่งเดียว มนุษย์ไม่ได้เกิดมามีอาการทางประสาท ทว่าเขากำเนิดมาท่ามกลางมวลมนุษย์ที่มีอาการประสาท อีกทั้งสังคมแวดล้อมก็ขับดันให้แต่ละคนมีพฤติกรรมประสาทไม่เร็วก็ช้ามนุษย์เกิดมาเป็นธรรมชาติ แท้จริงและปกติ แต่ทันทีที่เด็กเกิดใหม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โรคประสาทก็เริ่มสำแดงบทบาทโดยพลัน

 

โดยสภาพที่เราเป็นอยู่นี้ เรามีอาการทางประสาท และโรคประสาทก็ประกอบด้วยอาการอันแตกแยก เป็นอาการแตกแยกอันลึกล้ำ เธอหาใช่บุคคลเดียวไม่ เธอมีสองบุคลิกหรือมากมายหลายบุคลิกเลยด้วยซำ้เป็นจุดที่จะต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง นั่นแหละ เราจึงจะดำเนินสู่ตันตระได้ ความรู้สึกและความนึกคิดของเธอกลายเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน นี่แหละคือโรคประสาทขั้นมูลฐานความคิดและภาพความรู้สึกของเธอนั้นได้กลายเป็นสองส่วน และเธอก็คลุกคลีแนบชิดกับภาคความคิด มิใช่กับภาพความรู้สึกและความรู้สึกนั้นก็เป็นจริงยิ่งกว่าความคิด เป็นธรรมชาติยิ่งกว่า ความคิด เธอมาพร้อมด้วยดวงใจที่รู้สึกทว่าความคิดเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังลงไป มันถูกหยิบยื่นให้โดยสังคม และความรู้สึกของเธอก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ถูกเก็บกด แม้กระทั่งยามเธอกล่าวว่าเธอรู้สึก เธอก็เพียงแต่คิดว่าเธอรู้สึกเท่านั้น ความรู้สึกได้ตายด้านไปเสียแล้ว และสิ่งนี้บังเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุผลบางประการ

 

เมื่อเด็กน้อยถือกำเนิดขึ้น เขาคือตัวตนเห็นความรู้สึก เขารู้สึกถึงสิ่งต่างๆเขายังหาใช่ตัวตนแห่งความนึกคิดไม่ เขาเป็นธรรมชาติ เช่นสิ่งที่เป็นปกตินิสัยในธรรมชาติ เช่นต้นไม้หรือสัตว์ ฉันใดก็ฉันนั้น ทว่าเราเริ่มหล่อหลอมเขา อบรมบ่มเพาะเขา เขาจึงต้องสะกดกั้นความรู้สึกของตนไว้ เพราะหากไม่สะกดกลั้นความรู้สึกไว้แล้ว ก็มักจะประสบความยุ่งยากเสมอ เช่นว่า เมื่ออยากร้องไห้ก็ร้องไม่ได้ เพราะพ่อแม่จะไม่พึงพอใจ เขาจะถูกตำหนิ ไม่เป็นที่ชื่นชม ไม่เป็นที่รักใคร่ เค้าไม่ได้รับการยอมรับอย่างที่เป็น เขาจะต้องประพฤติตัวดี พึงปฏิบัติตัวตามคตินิยมหรืออุดมคติจำเพาะเช่นนี้แหล่ะเขาจึงจะเป็นที่รักใคร่เสน่หา

 

ความรักได้มีได้มีไว้เพื่อเขาตามสภาพที่เป็นอยู่ เขาจะเป็นที่ชื่นชอบได้ก็ต่อเมื่อเดินตามกฎเกณฑ์บางอย่าง กฎกติกาเหล่านั้นล้วนถูกยัดเยียดเข้ามา หาได้เป็นตามธรรมชาติไม่ ตัวตนที่เป็นธรรมชาติเริ่มถูกบีบคั้น และสภาพเสแสร้งปรุงแต่ง สภาพลวงตาก็ถูกยัดเยียดเข้ามา สภาพดวงตาที่ว่านี้คือจิตใจเธอ เธอเฝ้าหลงลืมจนหมดสิ้นว่าธรรมชาติแท้จริงของเธอเคยเป็นเช่นไร เธอมีโฉมหน้าจอมปลอมโฉมหน้าเดิมได้สูญสิ้นไปแล้ว อนึ่ง เธอก็หวาดกลัวว่าจะสัมผัสได้ถึงสภาพดังเดิม เพราะชั่วขณะที่เธอรู้สึกถึงมัน สังคมทั้งมวลจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเธอด้วยเหตุนี้ตัวเธอเองจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติแท้จริงของตน

 

นี่ก่อให้เกิดสภาพการณ์อันป่วยไข้อย่างสุดแสน เธอไม่ล่วงรู้ว่า เธอต้องการสิ่งใด เธอไม่ล่วงรู้ว่าอะไรคือความปรารถนาอันจริงแท้ของเธอ ครั้นแล้ว เธอก็มุ่งแสวงหาความปรารถนาอันจอมปลอมเพราะมีเพียงดวงใจที่รู้สึกเท่านั้น จึงจะสามารถหยิบยื่นสัมผัสและทิศทางของสิ่งที่เป็นความปรารถนาอันแท้จริงแก่เธอได้ ยามที่สิ่งเหล่านี้ถูกสะกดข่ม เธอก็สร้างความปรารถนาอันเป็นสัญลักษณ์ขึ้น เป็นต้นว่า เธออาจจะตั้งหน้าสวาปามมากขึ้นเรื่อยๆ เฝ้าปรนเปรอตัวเองด้วยอาหารไม่หยุดยั้ง และก็ไม่เคยเต็มรู้สึกเต็มอิ่มความปรารถนานั้นเป็นไปเพื่อรัก มิใช่เพื่ออาหาร ทว่าอาหารและความรักมีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกล้ำ ฉะนั้นเมื่อไม่อาจสัมผัสถึงความปรารถนา ในรัก หรือ ถูกสกัดกั้นไว้ความปรารถนากำมะลอต่ออาหารก็ถูกสร้างขึ้น และเธอก็สามารถรับประทานต่อไปไม่รู้จบ เพราะความปรารถนานั้นเป็นสิ่งกำมะลอ ไม่มีวันจะเติมเต็มได้ และเราก็มีชีวิตอยู่ในความปรารถนากำมะลอ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงไม่มีความอิ่มเอมสมปรารถนา

 

เธออยากเป็นที่ชื่นชมรักใคร่ นั่นคือความปรารถนาขั้นพื้นฐาน และเป็นธรรมชาติ ทว่ามันอาจถูกเบี่ยงเบนไปสู่มิติที่ผิดพลาดได้ เช่น ความปรารถนาในรัก ความต้องการเป็นที่รักใคร่ชื่นชม อาจกลายเป็นความปรารถนาจอมปลอม หากเธอพยายามหันเหความสนใจจากผู้อื่นมาสู่ตัวเธอ เธอมุ่งหวังว่าผู้อื่นควรจะให้ความใส่ใจเธอ ฉะนั้น เธออาจจะกลายมาเป็นผู้นำทางการเมือง มหาชนอาจให้ความสนอกสนใจเธอ แต่ว่าความปรารถนาเบื้องต้นอันแท้จริงคือ เป็นที่รักใคร่ชื่นชม ถึงแม้ทั่วโลกจะให้ความสนใจเธอ ความปรารถนาเบื้องต้นดังกล่าวก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ ความปรารถนาเบื้องต้นดังกล่าวสามารถบรรลุถึงได้ แม้มีเพียงบุคคลเดียวที่รักใครเธอเอาใจใส่ห่วงใยเธอเพราะรัก

 

ยามเธอรักใครซักคน เธอจะใส่ใจดูแลเขา ความใส่ใจและความรักมีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกล้ำ หากเธอสะกดกลั้นความปรารถนาในรัก มันย่อมกลับกลายเป็นความปรารถนาในเชิงสัญลักษณ์ เมื่อนั้น เธอจะต้องการความใส่ใจของผู้อื่น เธออ่านได้มันมา ทว่าก็จะไม่มีความสมมาดปรารถนาเช่นกัน ความปรารถนานั้นผิดพลาดและตัดขาดจากสภาพธรรมชาติ จากความปรารถนาขั้นพื้นฐาน ความแตกแยกในบุคลิกนี่แหละคืออาการทางประสาท

 

ตันตระเป็นแนวคิดที่ปฏิวัติโฉมหน้าโดยสิ้นเชิง เพราะตันตระกล่าวว่า ตราบใดเธอยังไม่เป็นเอกภาพและเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เธอก็กำลังพลาดจากชีวิตโดยสิ้นเชิง เธอไม่ควรอยู่ในสภาพแตกแยก เธอจะต้องเป็นหนึ่งเดียว ทำอย่างไรเล่าจึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เธอสามารถครุ่นคิดเรื่อยไปไม่หยุด ทว่านั่นจะไม่ช่วยอะไรเลยเพราะความคิดคือกลวิธีแบ่งแยก ความคิดเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ มันผ่าแยกสิ่งต่างๆออกจากกัน ความรู้สึกนั้นเชื่อมประสาท

สังเคราะห์ทำสิ่งต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียว ฉะนั้น เธอจะตั้งน่าคิด อ่าน ศึกษา พิจารณาต่อไปไม่หยุดก็ได้ แต่มันจะไม่ช่วยอะไรเว้นแต่เธอจะถอยกลับสู่ศูนย์กลางแห่งความรู้สึก ทว่ามันเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก เพราะแม้กระทั่งยามที่เราครุ่นคิดถึงศูนย์แห่งความรู้สึก เราก็ครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

 

เมื่อเธอเอื้อนเอ่ยต่อใครบางคนว่า “ฉันรักเธอ” ให้พึ่งตระหนักว่ามันเป็นเพียงความคิดหรือความรู้สึกกันแน่ หากมันเป็นเพียงความคิด เธอกำลังพลาดบางสิ่งไป ความรู้สึกนั้นอยู่ในข่ายขององค์รวม ตลอดทั้งร่างกาย จิตใจ ทุกสิ่งที่เธอเป็นล้วนเกี่ยวข้องผูกพันกัน แต่ในความคิด มีเพียงสมองของเธอเท่านั้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ทว่าเป็นเพลงเศษเสี้ยวของมันเท่านั้น ความคิดเป็นสิ่งที่จะผ่านเลยไปมันอาจไม่คงอยู่ที่นั่น ในขณะถัดมา มีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานในชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยความคิดที่กระจัดกระจาย เธอได้ให้คำมั่นสัญญาซึ่งไม่มีวันบรรลุถึงได้ เธออาจพูดได้ว่า”ฉันรักเธอและจะรักเธอไป ชั่วนิรันดร์” แต่ถึงอย่างไร ภาคที่สองก็คือคำมั่นสัญญา ซึ่งเธอไม่อาจปฏิบัติได้ เพราะมันถูกหยิบยื่นให้โดยความคิดที่กระจัดกระจาย ตัวตนทั้งมวลของเธอหามีส่วนเกี่ยวข้องในนั้นไม่ แล้วพรุ่งนี้เธอจะทำอย่างไร เมื่อเสร็จเสี้ยวได้ปลาสนาการไปและไม่มีความคิดดำรงอยู่อีกต่อไป บัดนี้คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ได้กลับกลายเป็นพันธนาการ

 

คำมั่นสัญญาทุกชนิดจะกลายเป็นสิ่งหลอกลวง เธอไม่อาจตกปากรับคำได้เพราะเธอไม่เป็นเอกภาพ มีเพียงภาคหนึ่งของเธอเท่านั้นที่ลั่นวาจาไว้ และเมื่อภาคที่ว่านั้นผละลุกจากบัลลังก์และอีกภาคหนึ่งเข้ารับช่วงแทน เธอจะทำฉันใดเล่า ใครเล่าที่จะทำให้คำสัญญาเป็นจริง ตามปลิ้นปล้อนอุบัติขึ้นเพราะเธอเฝ้าเพียรทำตามสัญญา เสแสร้งว่าเธอพึ่งอกพึ่งใจอยู่เป็นนิตย์ เมื่อนั้นทุกสิ่งย่อมกลายเป็นเรื่องโป้ปด ตันตระกล่าวว่าจงถอยดิ่งสู่ใจกลางของศูนย์ความรู้สึก ต้องทำอะไรและอย่างไรหรือจึงจะถอยกลับไปได้ ข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระสูตร ณ บัดนี้พระสูตรเหล่านี้แต่ละข้อคือความพยายามที่จะทำให้เธอเป็นเอกภาพ ( จิตวิญญาณแห่งตันตระประเวณี 5 พระสูตรถัดไป )

 

พระสูตรที่ 5 

“ณ จุดเริ่มของกามสังวาส จงสำรวมใจอยู่กับเพลิงปรารถนา ในเบื้องต้น ปฏิบัติสืบไปดังนี้ แลปลีกเร้นเสียจากเถ้าถ่านในบั้นปลาย”

 

กามารมณ์สามารถตอบสนองความพึงพอใจได้ลึกล้ำอย่างยิ่งและกามารมณ์สามารถสลัดเธอคืนสู่ความเป็นเอกภาพ ความเป็นธรรมชาติ ภาวะอันจริงแท้ของเธอด้วยเหตุผลนานัปประการ เหตุผลเหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้

 

ประการแรก กามารมณ์คือพฤติการณ์อันเต็มพร้อม เธอถูกสลัดแยกจากจิตใจ จากดุลยภาพของเธอ นั่นจึงเป็นเหตุให้เราหวาดกลัวกามารมณ์ยิ่งหนัก เธอสนิทแน่นกลมเกลียวกับจิตใจ ส่วนกามารมณ์คือพฤติการณ์อันปลอดไร้จิตใจ เธออยู่ในสภาพไร้สมอง เธอหาได้มีความคิดใดๆขณะกระทำการไม่ ไร้ซึ่งวิจารณญาณ ไร้กระบวนการแห่งจิต และหากมีกระบวนการทางจิตอันใดแล้วย่อมปราศจากการมีเพศสัมพันธ์อันจริงแท้ เช่นนั้นก็ไม่มีการบรรลุจุดสุดยอด ไม่มีความสมปรารถนา เมื่อนั้นการมีเพศสัมพันธ์จะกลายเป็นเรื่องคับแคบในตัวเอง เป็นบางสิ่งที่เกี่ยวกันกับสมองและมันก็ได้กลายเป็นเช่นนั้นแล้ว

 

เหตุที่ทั่วโลกมีความกระหาย มีใจใฝ่กระสันต่อกามารมณ์อย่างยิ่ง หาใช่เพราะมนุษย์โลกมีความรู้สึกทางกามารมณ์กว่าเดิมไม่ มันเป็นเพราะเธอไม่อาจแม้แต่จะเพลิดเพลินกับกามารมณ์ในฐานะพฤติกรรมมันเต็มพร้อมได้ แต่ก่อน มนุษย์โลกเคยมีความรู้สึกทางกามารมณ์มากกว่านี้ นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่มีความกระหายหากามารมณ์เยี่ยงนั้น ความกระหายหาดังกล่าวมีเครื่องบ่งชี้ว่าความเป็นจริงกำลังสูญสิ้น ที่คงอยู่คือภาพลวงตาเท่านั้น ผู้คนสมัยนี้ทั้งหมดล้วนมีจิตหมกมุ่นในกามารมณ์ เพราะการร่วมประเวณีจริงๆ นั้นไม่มีอีกต่อไป แม้การร่วมประเวณีก็ยังถูกถ่ายโอนสู่ความคิด มันกลายเป็นเรื่องของจิตใจ กล่าวคือเธอเป็นคนคิดถึงมันนั่นเอง

 

มีผู้คนมากมายมาหาข้าพเจ้า กล่าวว่าเขาพวกเขาครุ่นคิดถึงกามารมณ์ไม่หยุดหย่อน พวกเขาชอบนึกถึงมัน ชอบอ่าน ชอบดูภาพ เพริดเพลินกับสิ่งที่ว่านี้ ทว่าเมื่อถึงเวลามีเพศสัมพันธ์จริง กลับไม่รู้สึกสนใจขึ้นมาเฉยๆ พวกเขารู้สึกกระทั่งว่าตนเองเสื่อมสมรรถภาพเลยด้วยซ้ำ พวกเขารู้สึกถึงพลังชีวิตในยามครุ่นคิด แต่เมื่อต้องการลงมือปฏิบัติจริง กลับรู้สึกไม่มีพลังวังชา ไม่มีกระทั่งความปรารถนา รู้สึกว่าร่างกายเกิดอาการตายด้าน

 

เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ แม้การมีเพศสัมพันธ์ก็กลายเป็นเรื่องของจิตใจ พวกเขาได้แต่ครุ่นคิดถึงมันทว่าไม่อาจกระทำได้ เพราะการกระทำต้องอาศัยภาวะทั้งหมด และเมื่อใดที่ต้องเกี่ยวกับพันกับทั้งหมด หัวสมองก็จะกระสับกระส่าย เพราะเมื่อนั้น มันจะไม่สามารถเป็นนาย ไม่สามารถควบคุมบงการได้อีกต่อไป

 

ตันตระอาศัยการมีเพศสัมพันธ์ทำให้เธอเป็นเอกภาพ ทว่าเธอจะต้องดำเนินสู่มันด้วยความพินิจพิเคราะห์อย่างยิ่ง เธอจะต้องมุ่งเข้าหามันด้วยลืมทุกสิ่งที่ได้ฟังหรือเรียนรู้มาเกี่ยวกับกามารมณ์ทุกสิ่งที่สังคม เช่นโบสถ์ ศาสนาของเธอ ครูอาจารย์ที่คอย พรํ่าบอก จงหลงลืมทุกสิ่งแล้วถลำ ล่วงลงในนั้น อย่างเต็มตัว ลืมการควบคุมเสีย การควบคุมบงการคืออุปสรรคกีดกั้น ตรงกันข้าม จงอยู่ใต้บัญชาของมัน อย่าได้ควบคุมมัน จงดำเนินสู่มันประหนึ่งว่า เธอมีสติวิปลาส สภาพ”ปลอดไร้จิตใจ”นั้นดูเหมือนวิกลจริตไม่ผิดเพี้ยน จงกลับกลายเป็นร่างกาย กลับกายเป็นสัตว์เสีย เพราะสัตว์นั้นเป็นเอกภาพโดยสภาพที่มนุษย์ทุกวันนี้เป็นอยู่กามารมณ์ดูจะเป็นช่องทางที่ง่ายสุดที่จะทำให้เธอเป็นเอกภาพ เพราะกามารมณ์คือ ศูนย์กลางทางชีววิทยาภายในตัวเธอที่ล้ำลึกที่สุด ทุกๆเซลล์ของเธอคือเซลล์กามารมณ์ตลอดทั่วร่างกายเธอคือปรากฏการณ์แห่งพลังกามารมณ์

 

พระสูตรแรกนี้กล่าวว่า

 

“ณ จุดเริ่มของกามสังวาส จงสำรวมใจอยู่กับเพลิงปรารถนา ในเบื้องต้น ปฏิบัติสืบไปดังนี้ แลปลีกเร้นเสียจากเถ้าถ่านในบั้นปลาย”

 

และนี่ก็ส่งผลกระทบถึงทั้งหมดทีเดียว สำหรับเธอ กามารมณ์คือการปลดเปลื้อง ฉะนั้น ยามเธอมุ่งเข้าหามัน เธอจึงมีอาการเร่งร้อน เธอเพียงแค่ต้องการปลดเปลื้อง พลังอันถั่งท้นจะถูกปล่อยทะลักออกมา เธอจะรู้สึกโปร่งเบา ความโปร่งเบาเช่นนี้เป็นเพียงความอ่อนเปลี้ยชนิดหนึ่งเท่านั้น พลังอันถั่งท้นก่อให้เกิดแรงตึงเครียดและความตื่นเต้น เธอรู้สึกว่าต้องกระทำบางอย่าง เมื่อพลังถูกปลดปล่อยออกมา เธอจะรู้สึกอ่อนเปลี้ย เธออาจถือว่าความอ่อนเปลี้ยดังกล่าวเป็นการผ่อนคลายเพราะไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีพลังอันถั่งท้นอีกต่อไป เธอสามารถผ่อนคลายได้ ทว่าการผ่อนคลายอเยี่ยงนี้เป็นการผ่อนคลายในแง่ลบ หากเธอสามารถผ่อนคลายโดยอาศัยเพียงการปลดปล่อยพลังทิ้งไปแล้วไซร้ นั่นก็เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงและการผ่อนคลายเช่นนี้ก็เป็นได้เฉพาะด้านและหนังมังสาเท่านั้น มันไม่อาจหยั่งลึกลงไปกว่านี้ และไม่อาจกลายเป็นเรื่องจิตวิญญาณไปได้

 

พระสูตรแรกนี้กล่าวว่าจงอย่าเร่งรีบ และอย่ากระหายหาผลบั้นปลายให้คงอยู่กับจุดเริ่มแรกนี่แหละ มีสองส่วนด้วยกันเกี่ยวกับการร่วมประเวณี นั่นก็คือจุดเริ่มและ จุดสุดท้าย ให้คงอยู่กับจุดเริ่มต่อไป ช่วงต้นนั้นผ่อนคลายและอบอุ่นกว่า ทว่าจงอย่าเล่นดำเนินสู่ช่วงท้าย จงลืมช่วงท้ายให้หมดสิ้น “ณ จุดเริ่มแรกของกามสังวาส จงสำรวมใจอยู่กับพึงปรารถนาในเบื้องต้น” ขณะที่เธอมีความรู้สึกถั่งท้น จงอย่าคิดในแง่ของการปลดเปลื้อง ให้คงอยู่กับพลังอันถั่งท้นเช่นนี้ต่อไป อย่ามุ่งเป้าที่การหลั่ง จงลืมมันให้สิ้น จงเป็นเอกภาพในจุดเริ่มอันอบอุ่นนี้ คงอยู่กับยอดเสน่หาหรือคู่รักของเธอเป็นหนึ่งว่าเธอได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน จงเนรมิตวงกลมขึ้นมา

 

ช่องความเป็นไปได้อยู่สามชนิดด้วยกัน การรวมตัวกันของคู่รักทั้งสอง สามารถก่อให้เกิดรูปทรงขึ้นสามแบบ ซึ่งเป็นรูปทรงทางเรขาคณิต รูปที่หนึ่งคือสี่เหลี่ยมจตุรัส อีกรูปทรงหนึ่งคือสามเหลี่ยมและรูปทรงที่สามคือวงกลม

 

นี่คือหนึ่งในเกณฑ์วิเคราะห์ทางสายตันตระ ในครั้งโบราณว่าด้วยกามสังวาส โดยปกติแล้ว ยามเธอมีเพศสัมพันธ์ ในจุดนั้นจะมีบุคคลอยู่สี่คน ไม่ใช่สอง และนี่ก็คือสี่เหลี่ยมจตุรัสคือมีอยู่สี่มุมด้วยกัน เพราะตัวเธอเองนั้นถูกแบ่งเป็นสอง คือภาพความคิดและภาพความรู้สึก คู่พิศวาสของเธอก็ถูกแบ่งทอนเป็นสองเช่นกันเธอมีด้วยกันทั้งสิ้นสี่คน บุคคลทั้งสองมิได้พบปะกันที่นั่น เป็นบุคคลสี่คนต่างหากที่รวมกันอยู่ มันคือกลุ่มคนซึ่งไม่อาจรวมกันอย่างลึกซึ้งจริงๆได้ มันมีสี่มุมด้วยกัน และการรวมตัวกันก็เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม มันดูเสมือนการรวมตัว ทว่ามิใช่ ณ จุดนั้นไม่อาจมีการผสานรวมเป็นหนึ่งได้ เพราะส่วนที่ลึกลงไปในตัวเธอถูกเก็บซ่อนไว้ และส่วนลึกลงไปในตัวของผู้ที่เป็นที่รักของเธอก็ถูกเก็บซ่อนไว้เช่นกัน มีเฉพาะสมองสองฝ่ายเท่านั้นที่บรรจบกันมีเพียงกระบวนการความคิดทั้งสองที่รวมตัวกันอยู่ หาใช่กระบวนการความรู้สึกทั้งสองไม่ สิ่งเหล่านั้นล้วนถูกเก็บงำไว้ทั้งสิ้น

 

การรวมตัวชนิดที่สอง อาจเป็นไปได้ดุจสามเหลี่ยม เธอเป็นสองเป็นมุมทั้งสองของเส้นฐาน ยามเข้าได้เข้าเข็มนั้น เธอกลับกลายเป็นหนึ่งเดียวเฉกเช่นกับมุมที่สามสามเหลี่ยม ในยามเข้าด้ายเข้าเข็มความเป็นสองของเธอที่สูญสลาย และเธอก็กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวนี้ย่อมดีกว่าการรวมตัวแบบสี่เหลี่ยมจตุรัสเป็นแน่เพราะอย่างน้อย ก็มีความเป็นเอกภาพอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ความเป็นเอกภาพดังกล่าวจะหยิบยื่นพลานามัยและพลังชีวิตแก่เธอ เธอจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง

 

ชนิดที่สามนี่แหละ ที่เยี่ยมที่สุดเป็นการบรรจบกันในแบบตันตระ นั่นคือเธอกับกลายเป็นวงกลมปราศจากเหลี่ยมมุมและการรวมตัวกันก็ไม่ได้เป็นอยู่อึดใจเดียว การรวมตัวนั้นไม่ขึ้นอยู่กับกาลโดยแท้ ไร้ซึ่งกาลเวลาในห้วงนั้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเธอไม่มุ่งเป้าที่การหลั่ง หากเธอมุ่งเป้าที่การหลั่งแล้ว มันจะกลายเป็นรวมตัวแบบสามเหลี่ยม เพราะทันทีที่เกิดการหลั่ง. จุดเชื่อมต่อย่อมสูญสิ้นไป

 

จงคงอยู่กับจุดเริ่ม อย่าได้มุ่งสู่จุดสุดท้าย ทำอย่างไรเล่าจึงจะคงอยู่ ณ จุดเริ่มได้ มีหลายสิ่งที่เดียวที่เพิ่งสำเหนียกไว้ ประการแรกอย่าได้เข้าใจว่าการร่วมประเวณีเป็นหนทางนำไปสู่จุดหนึ่งจุดใดอย่าได้ยึดถือมันเป็นเช่นวิถีทาง มันคือจุดหมายปลายทางอยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีจุดหมายปลายทางสำหรับมัน มันหาใช่วิถีทางไม่ ประการที่สอง อย่าได้ใคร่ควรญถึงอนาคต ให้คงอยู่กับปัจจุบันหากเธอไม่สามารถคงอยู่ ณปัจจุบันในช่วงแรกของการร่วมประเวณีแล้ว เธอยังไม่มีวันคงอยู่ในปัจจุบันได้ เพราะธรรมชาติที่แท้จริงของกามกิจนั้นคือลักษณะที่ว่าเธอถูกโถมเหวี่ยงสู่ปัจจุบันนั่นเอง

 

จงคงอยู่ในปัจจุบันจงเพลิดเพลินกับการบรรจบกันของร่างกายและดวงใจทั้งสอง จงผนึกรวมเข้าหากันหลอมละลายสู่กันและกัน จงลืมเสียว่าเธอกำลังจะไปสู่จุดไหน ให้คงอยู่ชั่วขณะนั้น ไม่มุ่งสู่จุดใด แล้วหลอมละลาย พึงจัดสร้างภาพสภาพแวดล้อมอันอบอุ่นและอบอวลด้วยรักเพื่อให้บุคคลทั้งสองได้หลอมรวมเข้าหากัน นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมหากไร้ซึ่งความรักการร่วมประเวณีย่อมเป็นพฤติการณ์อันเร่งรีบ เธอกำลังช่วงใช้อีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงวิถีทางเท่านั้น และอีกฝ่ายก็กำลังช่วงใช้เธออยู่ เธอต่างตักตรงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน มิได้ผนึกรวมกัน ด้วยรัก เธอจะสามารถผนึกรวมกันได้ การผนึกรวมกันในจุดเริ่มดังกล่าวจะก่อให้เกิดความประจักษ์แจ้งใหม่ๆมากมายทีเดียว

 

หากเธอไม่เร่งรีบที่จะสำเร็จกิจแล้ว ในไม่ช้า กามกิจก็จะยิ่งลดทอนเรื่องทางกามารมณ์ลงทุกขณะและทวีด้านจิตวิญญาณยิ่งขึ้น แม้แต่อวัยวะเพศก็จะหลอมรวมเข้าหากัน บังเกิดการผสานรวมอันสงบลึกขึ้นระหว่างพลังของร่างกายทั้งสอง และเมื่อนั้น เธอจะสามารถคงอยู่สืบเนื่องกันไปเป็นชั่วโมงๆ ทีเดียว ความสืบเนื่องดังกล่าวจะยิ่งหยั่งลึกลงทุกขณะเมื่อเวลาผ่านไป ทว่าอย่าได้ครุ่นคิดเป็นอันขาด ให้คงอยู่กับชั่วขณะอันผสานรวมกันอย่างลึกล้ำ มันจะกลายเป็นความดื่มด่ำปีติ กลายเป็นสมาธิ(จิตสำนึกอันไพศาล)และหากเธอสามารถล่วงรู้ถึงสิ่งนี้ หากเธอสามารถสัมผัสและตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ความคิดด้านกามารมณ์ของเธอยังไม่ใช่กามารมณ์อีกต่อไป เธอสามารถลุถึงพรหมจรรย์ (การละเว้นเมถุน)อันล้ำลึกอย่างยิ่ง การประพฤติพรหมจรรย์นั้นสามารถลุได้ด้วยสิ่งนี้

 

นี่ดูจะขัดแย้งกันเองชอบกลอยู่ เพราะตลอดมา เรามักครุ่นคิดในแง่ว่า หากบุคคลใดต้องประพฤติพรหมจรรย์แล้ว เค้าไม่พึงเหลียวแลเพศตรงข้าม เขาต้องไม่พบปะเพศตรงข้าม เขาต้องหลบเลี่ยงหลีกหนีแล้วการยึดถือพรหมจรรย์แบบผิดๆก็บังเกิดขึ้นเมื่อนั้นเอง จิตเฝ้าครุ่นคิดถึงเพศตรงข้ามไม่หยุด และยิ่งเธอหลีกนี้จากอีกฝ่ายเธอก็ต้องยิ่งคิดมากขึ้นเพราะนี่คือพื้นฐานเป็นความปรารถนาอันลึกล้ำ

 

ตันตระกล่าวว่าจงอย่าพยายามหลบหนีเสียให้ยากเลย เพราะจะไม่มีไม่มีวันหลบพ้นไปได้ ทางที่ดีแล้ว จงอาศัยตัวธรรมชาตินั้นในการก้าวข้าม อย่าต่อสู้ขัดขืน ยอมรับธรรมชาติเพื่อข้ามพ้นมันไปเสีย หากการผสานรวมกับยอดเสน่หา หรือคู่ขวัญของเธอนี้ทอดยาวออกไปด้วยไรที่สิ้นสุดในจิตใจเมื่อนั้น เธอย่อมสามารถคงอยู่เฉพาะในจุดเริ่มได้ ความตื่นเต้นนั้นคือพลัง เธอสามารถใช้มันไม่หมดไป เธอสามารถไปถึงจุดสุดยอดได้ ครั้นพลังสูญสิ้นไม่เหลือหลอ ภาวะซึมเศร้าก็จะติดตามมาความกระปลกกระเปลี้ยก็จะติดตามมา เธออาจเข้าใจว่ามันเป็นการผ่อนคลาย หากแต่ว่ามันเป็นแง่ลบ

 

ตันตระหยิบยื่นมิติแห่งการผ่อนคายระดับสูงมันเป็นแง่บวกแก่เธอ คู่พิศวาสทั้งสองซึ่งหลอมรวมกันเข้าสู่กันนั้น จะถ่ายทอดพลังชีวิตให้กันและกัน พวกเขากลับกลายเป็นวงกลม และพลังของพวกเขาก็เริ่มไหลเวียนในวงกลม พวกเขากำลังหยิบยื่นชีวิตให้แก่กัน ชีวิตในโฉมใหม่ ไม่มีการสูญสิ้นพลังงานโดยเปล่าดาย ตรงกันข้าม กลับได้รับพลังเพิ่มมากกว่าเดิม เพราะโดยการสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม เซลล์ทุกเซลล์ของเธอจะถูกปลุกกระตุ้น เร่งเร้า และหากเธอสามารถผนึกรวมไปกับความตื่นเต้นเร้าใจดังกล่าว โดยไม่ชักนำมันไปสู่จุดสุดยอด หากเธอสามารถคงอยู่ ณ จุดเริ่มต้นโดยปราศจากความพลุ่งพล่าน เพียงคงอยู่ในสภาพอบอุ่นดังเดิม เมื่อนั้นแหละ “ความอบอุ่น”ทั้งสองสายจะเข้าบรรจบกัน และเธอจะสามารถทอดเวลาในการไป ในการปฏิบัติกิจออกไปได้เนิ่นนานยิ่งโดยเหตุที่ไม่มีการหลั่ง ไม่มีการขับพลังทิ้ง มันจึงกลายเป็นสมาธิภาวนา และยังผลให้เธอเป็นเอกภาพ ยังผลให้บุคลิกภาพอันแตกแยกของเธอไม่แตกแยกอีกต่อไป มันถูกประสานเข้าด้วยกัน

 

โรคประสาททุกชนิดล้วนเป็น”ความแตกแยก”หากเธอได้รับการประสานอีกครั้ง เธอจะกลายเป็นเด็กเล็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอีกคำรบหนึ่ง และเมื่อใดที่เธอล่วงรู้ถึงความไร้เดียงสานี้ เธอจะสามารถประพฤติตัวตามกรอบที่สังคมเรียกร้องเช่นนั้นสืบไป ทว่าบัดนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงละครเป็นแค่การแสดงเท่านั้นเธอหาได้คลุกคลีเกี่ยวข้องใน มันคือข้อเรียกร้อง ฉะนั้นเธอจึงปฏิบัติตามทว่าเธอมิได้คงอยู่ในนั้น เธอเพียงแค่แสดงบทบาทเท่านั้น

 

เธอต้องอาศัยโฉมหน้าจอมปลอมว่าเธอมีชีวิตอยู่ในโลกจอมปลอม มิฉะนั้นโลกจะบดขยี้และเข่นฆ่าเธอสังคมจอมปลอมจะไม่ทนอดกลั้นต่อสิ่งนี้ จงประพฤติตนอย่างที่สังคมต้องการ อย่าสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นต่อตัวเธอเองและผู้อื่น ทว่ายามใดที่เธอล่วงรู้ถึงภาวะอันจริงแท้และความเป็นเอกภาพของเธอ สังคมจอมปลอมย่อมไม่อาจบีบคั้นให้เธอเป็นโรคประสาท ไม่อาจทำให้เธอวิกลจริตได้

 

“ณ จุดเริ่มของกามสังวาส จงสำรวมใจอยู่กับเพลิงปรารถนา ในเบื้องต้น ปฏิบัติสืบไปดังนี้ แลปลีกเร้นเสียจากเถ้าถ่านในบั้นปลาย”

 

หากมีการหลั่งในจุดนั้น พลังย่อมเหือดหายไป เมื่อนั้น ย่อมไม่มีเพลิงปราถนาอีกต่อไป เธอเพียงถูกปลดเปลื้องจากพลังของเธอไปไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใด

 

โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่

คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 3

The book of the secrets 

 ( หน้า 2-15)

 

Sabaidee Journey Quote No.10

#sabaideejourneyquote