NEWS

จิตวิญญาณ คัมภีร์แห่งความเร้นลับ "พระสูตรที่ 16" | Sabaidee Journey Quote EP 23

10 May 2021

พระสูตรที่ 16

“ยามใดก็ตามที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกหลอมรวม เข้าด้วยกัน ชั่วพริบตาที่สัมผัสถึงภาวะไร้พลังนี้ จุดศูนย์กลางย่อมเต็ม เปี่ยมไปด้วยพลัง”

 เราถูกแบ่งออกเป็นจุดศูนย์กลางกับขอบนอก ร่างกาย คือส่วนที่เป็นขอบนอก เรารู้จักร่างกาย รู้จักขอบนอกดี เรารู้ถึงบริเวณ รอบนอก แต่เราไม่รู้ว่าจุดศูนย์กลางอยู่ที่ไหน ยามใดที่ลมหายใจออก หลอมรวมกับลมหายใจเข้า ยามใดที่มันกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ยามใดที่ เธอบอกไม่ได้ว่า มันคือลมหายใจออกหรือลมหายใจเข้า ยามใดที่ยากจะ ขีดเส้นแบ่ง หรือให้นิยามได้แน่ชัดว่า ลมหายใจกำลังแล่นออกหรือแล่น เข้ากันแน่ ยามใดที่ลมหายใจแทรกซึมเข้ามาและเริ่มเคลื่อนออกไป นั่นคือ ชั่วขณะแห่งการหลอมรวมกัน ซึ่งไม่ใช่ทั้งแล่นออกหรือแล่นเข้า ลมหายใจ นั้นสถิตมั่นอยู่กับที่ ขณะที่มันเคลื่อนออกไป มันก็คือพลวัต ขณะที่มัน

แล่นเข้ามา มันก็คือพลวัต แต่ยามใดที่มันไม่เป็นทั้งสองอย่าง ยามใดที่ มันสงบนิ่ง ปราศจากการเคลื่อนไหว เมื่อนั้นเธอกำลังเข้าไปใกล้จุดศูนย์ กลาง จุดหลอมรวมของลมหายใจเข้าและออก คือจุดศูนย์กลางของเธอ ให้ลองพิจารณาดูในแง่นี้ ขณะที่ลมหายใจแล่นเข้ามานั้น มันมุ่ง ไปสู่หนใด มันมุ่งไปสู่จุดศูนย์กลางของเธอ มันเข้ากระทบกับจุดศูนย์ กลางของเธอ แล้วขณะที่มันแล่นออกมานั่นล่ะ มันแล่นออกจากที่ใดกัน มันแล่นออกจากจุดศูนย์กลางของเธอ จุดศูนย์กลางของเธอจะต้องถูก กระทบ ด้วยเหตุนี้รหัสยาจารย์ของลัทธิเต๋าและเซนจึงกล่าวว่า หัวสมอง หาใช่จุดศูนย์กลางไม่ สะดือต่างห่างที่เป็นจุดศูนย์กลางของเธอ ลมหายใจ มุ่งตรงไปที่สะดือแล้วก็เคลื่อนออกมา มันมุ่งตรงไปสู่จุดศูนย์กลาง

 

ก็อย่างที่ฉันว่าไว้แหละว่า ลมหายใจคือสะพานเชื่อมระหว่างตัวเธอ กับร่างกาย เธอรู้จักร่างกายดี แต่เธอไม่รู้ว่าจุดศูนย์กลางของเธออยู่ที่ไหน ลมหายใจมุ่งไปสู่จุดศูนย์กลาง และเคลื่อนออกไปไม่ขาดสาย หากแต่เรา สูดหายใจเข้าไปไม่เพียงพอ ฉะนั้นโดยปกติแล้ว มันจึงไม่ได้มุ่งสู่จุดศูนย์ กลางจริงๆ อย่างน้อยที่สุด ในขณะนี้ มันจะไม่มุ่งตรงไปสู่จุดศูนย์กลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมแต่ละคนจึงรู้สึกว่าตัวเองไร้จุดศูนย์กลาง กล่าวคือ แต่ละคนจะรู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจุดศูนย์กลาง ในโลกปัจจุบันนี้ทั้งหมด ใครที่พอจะสำนึกได้อยู่บ้างต่างก็รู้สึกว่า จุดศูนย์กลางของตนกำลังสูญหาย ไป

 

ลองดูช่วงที่เด็กนอนหลับอยู่ ลองสังเกตดูลมหายใจของเขา ให้ดี ช่วงที่ลมหายใจแล่นเข้ามา ท้องจะกระเพื่อมขึ้น โดยที่ช่วงหน้าอก ไม่ขยับเขยื้อน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเด็กๆ ถึงไม่มีหน้าอก มีแต่ช่องท้องเท่านั้น เป็นช่องท้องที่ทรงพลังอย่างยิ่ง พอลมหายใจแล่นเข้า ท้อง จะกระเพื่อมขึ้น พอลมหายใจแล่นออก ท้องจะกระเพื่อมลง ช่องท้องจะขยับเขยื้อนไปมา เด็ก ๆ จะคงอยู่ในจุดศูนย์กลางของตนเอง ดำรงกับมัน เพราะเหตุนี้เอง พวกเขาจึงช่างเบิกบาน เต็มไปด้วยความสุข สําราญ มีพลังวังชาเหลือเฟือ พวกเขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปี่ยมล้น ด้วยความรู้สึก และดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะอยู่เสมอโดยปราศจากอดีตปราศจากอนาคต 

 

เด็กสามารถจะมีโทสะได้ ในขณะที่เขา มีโทสะ เขาจะแสดงออก อย่างหมดจด เขาจะกลับกลายเป็นตัวโทสะเสียเอง เมื่อนั้น โทสะของ เขา ก็จะเป็นสิ่งงดงามเช่นกัน เมื่อบุคคลใดมีโทสะอย่างบริบูรณ์ โทสะจะมีความงดงามในตัวมันเอง เพราะความบริบูรณ์นั้นมักจะเปี่ยมด้วยความ งดงามอยู่เสมอ

 

เธอไม่สามารถจะมีโทสะและแลดูงดงามเช่นนั้นได้ เธอจะดู อัปลักษณ์ เพราะความรู้สึกครึ่งๆ กลาง ๆ นั้นมักจะดูอัปลักษณ์ และไม่ เฉพาะแต่โทสะเท่านั้น แม้ในห้วงรัก เธอก็ยังดูอัปลักษณ์ เพราะเธอจะ เป็นแค่ส่วนเสี้ยว เป็นชิ้นที่ไม่ต่อเนื่องกัน เธอไม่ได้เป็นอย่างหมดจด ลองดูใบหน้าเธอช่วงที่แสดงความรักกับใครบางคน หรือมีเพศสัมพันธ์อยู่ ลองมีเพศสัมพันธ์กันที่หน้ากระจก แล้วเพ่งดูใบหน้าเธอให้ดี มันจะดูน่าเกลียดน่ากลัวไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลย ในห้วงรัก ใบหน้าของเธอก็ยัง ดูอัปลักษณ์อยู่อีกหรือ เพราะเหตุใดเล่า ความรักก็เป็นความขัดแย้ง เช่นเดียวกัน เธอเก็บงำบางสิ่งบางอย่างไว้ หรือหยิบยื่นให้อย่างตระหนี่ ถี่เหนียว แม้ในห้วงรักของเธอ เธอก็ไม่แสดงออกอย่างหมดจด เธอไม่ หยิบยื่นให้อย่างบริบูรณ์หรือให้อย่างสุดตัว

 

เด็กนั้นแม้จะอยู่ในห้วงโทสะและใช้ความรุนแรง ก็ยังแสดงออก อย่างบริบูรณ์ ใบหน้าของเขาจะเปล่งปลั่งและแลดูงดงาม ด้วยเขาดำรง อยู่ในปัจจุบันขณะ โทสะของเขาหาใช่สิ่งที่เกี่ยวพันกับอดีตหรือเกี่ยวพัน

กับอนาคตไม่ เขามิได้คิดคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขาเพียงแต่มีโทสะ เท่านั้น เด็กนั้นดำรงอยู่ในจุดศูนย์กลางของตนเอง ยามใดที่เธอดำรงอยู่ ในจุดศูนย์กลางของตนเอง เธอจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ สิ่งใดก็ตามที่เธอทำ จะเป็นพฤติการณ์อันเต็มเปี่ยม ไม่ว่าดีหรือเลว มันจะเป็นไปอย่างบริบูรณ์ ยามใดที่เธอเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหรือถูกตัดขาดจากจุดศูนย์กลาง พฤติ การณ์ทั้งหมดของเธอก็จะจำกัดอยู่เพียงแค่ส่วนหนึ่งของเธอ หาใช่การ สนองตอบจากทั้งหมดของเธอไม่ เป็นการสนองตอบเพียงแค่ส่วนเดียว เท่านั้น และส่วนนั้นก็จะเป็นปฏิปักษ์ต่อทั้งหมด นั่นย่อมก่อให้เกิดความ อัปลักษณ์ขึ้น

 

พวกเราทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กมาก่อน เพราะเหตุใดเมื่อเราเจริญ วัยขึ้น การหายใจของเราจึงกลับตื้นเขินมันไม่เคยหยั่งลงไปถึงช่องท้อง หรือสัมผัสกับสะดือเลย หากลมหายใจยิ่งหยั่งลึกลงไปเท่าไหร่ มันก็จะ ยิ่งตื้นเขินน้อยลงไปเท่านั้น แต่มันเพียงแค่สัมผัสกับหน้าอก แล้วก็ไหล ออกไป มันไม่เคยไปถึงจุดศูนย์กลางเลย เธอมีความหวั่นเกรงต่อจุดศูนย์ กลาง เพราะหากเธอไปถึงจุดศูนย์กลาง เธอจะสมบูรณ์หมดจด หากเธอ ต้องการดำรงอยู่อย่างกระจัดกระจาย นี่คือกลไกในการดำรงอยู่ที่ว่านั้น 

 

เธอมีความรัก หากเธอสูดหายใจจากจุดศูนย์กลาง เธอจะไหลเวียนอยู่ในห้วงรัก แต่เธอหวาดกลัว เธอหวาดกลัวที่จะรู้สึกเปราะบาง หรือเปิดรับกับใครบางคนหรือทุกคน เธออาจเรียกเขาว่าคู่รัก เธออาจเรียกหล่อนว่า เธอผู้เป็นที่รัก แต่เธอมีความหวาดกลัว ด้วยมีบุคคลอื่นอยู่ที่นั่น หากว่าเธอรู้สึกเปราะบางหรือเปิดรับอย่างหมดจดแล้ว เธอจะไม่รู้เลยว่าจะ เกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อนั้น เธอจะเป็นอยู่อย่างบริบูรณ์ หากกล่าวอีกนัย หนึ่ง แต่เธอหวั่นเกรงที่จะหยิบยื่นให้ใครบางคนอย่างเต็มที่เช่นนั้น เธอ ไม่สามารถจะสูดหายใจได้อย่างลึกล้ำ เธอไม่สามารถผ่อนลมหายใจเพื่อมุ่งสู่จุดศูนย์กลางได้ เพราะในชั่วขณะที่ลมหายใจมุ่งสู่จุดศูนย์กลางนั้น พฤติการณ์ของเธอก็จะยิ่งเต็มเปี่ยมมากขึ้นทุกขณะ

 

เนื่องเพราะเธอหวาดกลัวที่จะดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ลมหายใจ ของเธอจึงตื้นเขิน เธอสูดหายใจเกือบจะเป็นในปริมาณต่ำสุด ไม่ใช่ใน ปริมาณสูงสุด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชีวิตจึงดูเหมือนขาดไร้ซึ่งชีวิต ชีวาเช่นนั้น หากเธอหายใจในปริมาณต่ำสุด ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องจืดชืด เธอกำลังมีชีวิตอยู่ที่ระดับต่ำสุดไม่ใช่ที่ระดับสูงสุด เธอสามารถดำรงอยู่ ที่ระดับสูงสุดได้ เมื่อนั้น ชีวิตจะมีสภาพที่เปี่ยมล้น แต่ก็จะมีความยุ่ง ยากแฝงอยู่ หากชีวิตมีสภาพที่เปี่ยมล้น เธอจะไม่สามารถเป็นสามีหรือ ภรรยาได้ ทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

 

หากชีวิตมีสภาพที่เปี่ยมล้น ความรักก็จะมีสภาพที่เปี่ยมล้น เมื่อ นั้น เธอจะไม่สามารถยึดมั่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เธอจะไหลบ่าไปทั่ว ทุกทิศทุกทางจะคลาคล่ำไปด้วยตัวเธอ เมื่อนั้น จิตใจย่อมจะรู้สึกถึงภยันตราย ฉะนั้น ทางที่ดีแล้ว มันจึงไม่ควรดำรงอยู่อีกต่อไป ยิ่งตัวเธอ ตายด้านมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งตัวเธอตายด้าน มากเท่าไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งตกอยู่ใต้การควบคุมมากขึ้นเท่านั้น เธอ สามารถควบคุมได้ ฉะนั้น เธอจึงยังเป็นผู้บงการอยู่เช่นเดิม ที่เธอรู้สึก ว่าเธอเป็นผู้บงการเพราะเธอสามารถควบคุมได้ เธอสามารถควบคุมโทสะ ของเธอ ควบคุมความรักของเธอ ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ แต่การ ควบคุมที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในช่วงที่พลังงานของเธออยู่ในระดับ ต่ำสุดเท่านั้น

 

แต่ละคนคงเคยรู้สึกกันมาแล้วในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งว่า มีอยู่ หลายขณะทีเดียว ที่เขาเปลี่ยนจากระดับต่ำสุดไปสู่ระดับสูงสุดโดยไม่ คาดฝัน เธอไปยังที่พักแรมบนภูเขา ทันใดนั้น เธอก็ออกพ้นจากเขตเมือง

พ้นจากที่คุมขังของมัน เธอรู้สึกเป็นอิสระ ท้องฟ้าไกลสุดลูก ป่าไม้เขียวขจีบระดับความสูงเสียดเมฆ เธอสูดหายใจอย่างลึกโดย ไม่รู้สึกตัว ซึ่งเธออาจไม่เคยสังเกตเห็นสิ่งนี้มาก่อน

 

ต่อแต่นี้ หากเธอไปยังที่พักแรมบนภูเขา ลองสังเกต แท้ที่จริงแล้ว มิใช่ที่พักแรมหรอกที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นลมหายใจ ของเธอต่างหาก เธอสูดหายใจอย่างลึกล้ำ พร้อมส่งเสียงร้องดัง “อ้า ! อ้า !" เธอสัมผัสกับจุดศูนย์กลาง และบังเกิดความเต็มเปี่ยมอยู่ขณะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความปีติ ความปีติที่ว่านั้นมิได้เกิดจากที่พักแรม แต่เกิดจากจุดศูนย์กลางของเธอ เธอสัมผัสเข้ากับมันโดยไม่รู้ตัว

 

ในเขตเมืองนั้น เธอมีความรู้สึกหวาดหวั่น มีบุคคลอื่นปรากฏ อยู่ทุกหนทุกแห่งและครอบงำเธออยู่ เธอไม่สามารถจะกรีดร้องหรือหัวเราะ ออกมาได้ ช่างอาภัพอับโชคเสียนี่กระไร เธอไม่สามารถร้อง รำทำเพลงไปตามท้องถนน เธอหวั่นเกรงว่าจะมีตำรวจแอบหลบมุมอยู่ที่ไหนสัก แห่งหรืออาจเป็นนักบวช ผู้พิพากษานักการเมือง หรือนักจริยธรรม อาจมีใครบางคนแอบหลบมุมอยู่ เธอจึงไม่สามารถที่จะร้องรำทำเพลง บนท้องถนนได้

 

เบอร์ทรันด์ รัสเซล เคยกล่าวไว้ที่ไหนสักแห่งว่า “ข้าพเจ้ารักใน อารยธรรม ทว่าเราได้รับอารยธรรมโดยแลกมาด้วยมูลค่ามหาศาล” เธอ ไม่สามารถเต้นรำบนท้องถนนได้ แต่พอเธอไปยังที่พักแรมบนเขา เธอก็สามารถเต้นแร้งเต้นกาได้ทันที เธอดำรงอยู่กับท้องฟ้าตามลำพัง และ ท้องฟ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผูกมัด มันมีแต่เปิดโล่งออกไปจนสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่ สิ้นสุด ฉับพลันนั้นเอง เธอก็สูดหายใจอย่างลึกล้ำ มันกระทบเข้ากับจุด ศูนย์กลางและความปีติ ทว่ามันจะเป็นอยู่เช่นนั้นไม่นานนัก ภายในหนึ่ง หรือสองชั่วโมง ที่พักแรมบนเขาจะอันตรธานไป เธออาจจะยังคงอยู่ที่นั่น แต่ที่พักแรมจะอันตรธานไป

 

ความกังวลของเธอจะหวนคืนมา เธอจะเริ่มคิดที่จะต่อโทรศัพท์ เข้าไปในเมือง เขียนจดหมายไปถึงภรรยาหรือไม่ก็เริ่มคิดว่า ตระเตรียมเดินทางกลับในอีกสามวันให้หลัง เธอเพิ่งมาถึงได้ไม่ทันไร ก็เตรียมจะจากไปเสียแล้ว

 

เธอหวนคืนสู่สภาพเดิม ลมหายใจในช่วงนั้นมิได้เกิดจากตัวเธอ อย่างแท้จริง มันอุบัติขึ้นมาโดยไม่คาดฝัน ทั้งนี้เนื่องมาจากการเปลี่ยน แปลงสภาพการณ์ ส่งผลให้คันเกียร์เปลี่ยนไป เธออยู่ในสภาพการณ์ใหม่ในช่วงนั้น เธอไม่อาจหายใจในรูปแบบเก่าได้ ฉะนั้น ในชั่วพริบตาเดียว ลมหายใจสายใหม่ก็แล่นเข้ามามันสัมผัสเข้ากับจุดศูนย์กลาง และเธอก็ รู้สึกได้ถึงความปีติ

 

พระศิวะทรงตรัสว่า เธอกำลังสัมผัสกับจุดศูนย์กลางอยู่ทุก ๆ ขณะ หรือหากเธอมิได้สัมผัสอยู่ เธอก็สามารถสัมผัสถึงมันได้ จงสูดหายใจ ลึก ๆ อย่างเชื่องช้า ให้สัมผัสถึงจุดศูนย์กลาง จงอย่าหายใจจากช่วงอก นี่คืออุบาย ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรม การศึกษา หรือศีลธรรมจรรยาก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการหายใจที่ตื้นเขินทั้งสิ้น เป็นการดีที่จะหยั่งลึก ลงสู่จุดศูนย์กลาง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เธอจะไม่สามารถสูดหายใจได้ อย่างล้ำลึก

 

ตราบใดที่มนุษยชาติยังคงปิดบังตัวเองในเรื่องกามารมณ์ มนุษย์ เราจะไม่สามารถหายใจได้อย่างแท้จริงหากลมหายใจหยั่งลึกไปถึงสะดือ มันจะให้พลังแก่จุดศูนย์กลางทางเพศ มันกระทบกับจุดศูนย์กลางทางเพศ และนวดเฟ้นจุดนั้นจากภายใน จุดศูนย์กลางทางเพศจะเกิดความกระชุ่ม กระชวยและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น อารยธรรมนั้นมีความหวั่นเกรงต่อเรื่อง กามารมณ์ เราไม่ปล่อยให้ลูกหลานของเราสัมผัสจุดศูนย์กลางทางเพศหรือเครื่องเพศของเขา เราจะกล่าวว่า “หยุดนะ ห้ามแตะต้อง “

 

ลองดูเด็กน้อยในช่วงที่เริ่มลูบคลำเครื่องเพศของเขาเป็นครั้งแรกลองพูดว่า “หยุด !" แล้วคอยสังเกตดูการหายใจของเขาให้ดี ขณะที่เธอ พูดว่า “หยุด อย่าแตะต้องเจ้าโลกของเธอนะ” ลมหายใจจะแปรเปลี่ยนสภาพตื้นเขินทันที เพราะไม่เฉพาะแต่มือของเขาเท่านั้น ที่กำลังสัมผัสกับ จุดศูนย์กลางทางเพศ ลึกลงไปนั้น ลมหายใจก็กำลังสัมผัสอยู่เช่นกัน และหากลมหายใจยังคงสัมผัสกับจุดนั้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ย่อมยากที่จะ หยุดมือลงได้ แต่หากมือหยุดชะงักลงกลางคัน ถ้าเช่นนั้น โดยพื้นฐาน แล้วย่อมเลี่ยงไม่พ้นว่า ลมหายใจคงจะไม่สัมผัสหรือลงลึกถึงจุดนั้นเป็นแน่ ลมหายใจจะยังคงตื้นเขินอยู่เช่นเดิม

 

เรามีความหวั่นเกรงต่อเรื่องกามารมณ์ ร่างกายส่วนที่ต่ำลงไปนั้น มิได้ต่ำกว่าเฉพาะในด้านกายภาพเท่านั้น แต่ยังต่ำกว่าในแง่คุณค่าอีกด้วย มันถูกประนามว่า “ต่ำต้อย” ฉะนั้น จงอย่าถลำลึก แต่ให้คงอยู่ในสภาพ ตื้นเขินเช่นนั้นแหละ โชคไม่ดีที่เราได้แต่สูดหายใจลงสู่เบื้องล่างเท่านั้น หากว่ามีนักบวชบางพวกเกิดได้รับฉันทานุมัติขึ้นมาแล้ว พวกเขาจะเปลี่ยน แปลงกลไกทั้งหมด พวกเขาจะอนุญาตให้เธอสูดหายใจขึ้นสู่เบื้องบนศีรษะ ได้เพียงสถานเดียว เมื่อนั้นเธอจะหมดสิ้นความรู้สึกทางกามารมณ์โดย สิ้นเชิง

 

ถ้าเราจะสร้างมนุษยชาติที่ปราศจากความรู้สึกด้านกามารมณ์ เรา จะต้องเปลี่ยนแปลงระบบการหายใจเสียก่อน ลมหายใจจะต้องแล่นไปสู่ ศีรษะ ไปสู่ “สหัสระ” (จักระที่เจ็ดในบริเวณศีรษะ ) แล้วย้อนกลับมาที่ปาก นี่ควรจะเป็นเส้นทางของมัน คือจากปากแล่นไปสู่สหัสระ มันจะต้องไม่ ถลำลึกลงไป เพราะลึกลงไปจะเป็นภยันตราย ยิ่งเธอถลำลึกลงไปเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเฉียดใกล้ระดับลึกในทางชีววิทยามากขึ้นเท่านั้นเธอบรรลุถึงจุดศูนย์กลาง และจุดศูนย์กลาง ที่ว่า นี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดศูนย์กลาง ทางเพศ คืออยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง มันจะต้องเป็นไปเช่นนั้น เนื่องเพราะ กามารมณ์ก็คือชีวิต

 

ลองพินิจดูในแง่ นี้ ลมหายใจคือชีวิตที่มุ่งจากเบื้องบนลง สู่เบื้อง ล่าง ส่วนกามารมณ์ก็เป็นเพียงชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง คือจากเบื้องล่างขึ้น สู่เบื้องบน พลังทางกามารมณ์ อีกทั้งพลังลมหายใจต่างก็ไหลเวียนไม่หยุดยั้ง เส้นทางของลมหายใจอยู่ที่ร่างกายส่วนบน เส้นทางของกามา รมณ์อยู่ที่ร่างกายส่วนล่าง เมื่อใดที่ทั้งสองสายนี้แล่นมาบรรจบกัน ก็ จะ ก่อให้เกิดชีวิต ก่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังงานทางชีววิทยาขึ้นฉะนั้น หากเธอมีความหวั่นเกรงต่อกามารมณ์ จงสร้างระยะห่างระหว่างสองสิ่งนี้ อย่าปล่อยให้มันมาบรรจบกัน ในความเป็นจริงแล้ว อารยชนก็คือผู้ที่ ถูกตอนแล้วนั่นเอง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่รู้เกี่ยวกับลมหายใจ อีกทั้งพระสูตรนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ยากแก่การเข้าใจ

 

พระศิวะทรงตรัสว่า “ ยามใดก็ตามที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก หลอมรวมเข้าด้วยกัน ชั่วพริบตาที่สัมผัสถึงภาวะไร้พลังนี้ จุดศูนย์กลาง ย่อมเปี่ยมไปด้วยพลัง” พระองค์ทรงใช้ถ้อยคำที่ขัดแย้งกันอย่างยิ่งเช่น คำว่า “ไร้พลัง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง” ที่ไร้พลังนั้น เป็นเพราะร่างกายและ จิตใจของเธอไม่สามารถจะถ่ายทอดพลังใด ๆ แก่มันได้ พลังของร่างกาย และจิตใจเธอมิได้คงอยู่ในจุดนั้น ฉะนั้น มันจะยังคงเป็นจุดที่ไร้พลัง ต่อไปตราบเท่าที่เธอยังรับรู้ถึงอัตลักษณ์ของตนเอง แต่ที่มันเต็มเปี่ยมไป ด้วยพลัง เพราะมันมีแหล่งพลังจากจักรวาล หาใช่เป็นเพราะพลังจากร่าง กายเธอไม่

 

พลังจากร่างกายเธอนั้นเป็นเพียงพลังเชื้อเพลิงเท่านั้น มันหาใช่ อื่นใดไม่นอกจากน้ำมันรถเท่านั้น เธอดื่มกินบางสิ่งบางอย่างเข้าไป แล้วสิ่งนั้นก็ก่อให้เกิดพลังขึ้น มันเพียงแต่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อใดที่ หยุดการกินดื่ม ร่างกายของเธอก็จะล้มหายตายจากไป แต่ไม่ใช่ว่ามันจะ เกิดขึ้นปุบปับเดี๋ยวนี้ มันจะกินเวลาอย่างน้อยสามเดือน เพราะเธอมีคลัง น้ำมันสำรองอยู่ในตัว เธอได้สะสมพลังงานเอาไว้เป็นจำนวนมากร่างกาย เธอสามารถจะเดินเครื่องต่อไปได้อีกอย่างน้อยสามเดือน โดยไม่ต้องแวะ พักที่สถานีน้ำมันใดๆมันสามารถจะแล่นต่อไปได้ มันมีคลังน้ำมันสำรอง อยู่ในตัว ในกรณีฉุกเฉิน เธออาจต้องใช้มันก็เป็นได้

 

นี่คือพลังงาน “เชื้อเพลิง” ทว่าจุดศูนย์กลางมิได้รับพลังงานเชื้อ เพลิงใด ๆ ด้วยเหตุนี้เอง พระศิวะจึงทรงตรัสว่า มันคือจุดที่ไร้พลัง มันหาได้ขึ้นอยู่กับการกินดื่มของเธอไม่ มันเกี่ยวโยงอยู่กับแหล่งที่มาของจักรวาล มันคือพลังจักรวาล เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงตรัสว่า “ณ จุดที่ไร้พลังนี้ จุดศูนย์กลางจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง” ในชั่วขณะที่เธอ สัมผัสได้ถึงจุดศูนย์กลางที่ลมหายใจแล่นเข้าออก ในตำแหน่งที่ลมหายใจ เกิดการหลอมรวมกัน ณ จุดศูนย์กลางนั้นแหละ หากเธอตระหนักรู้ถึง จุดนั้น ตรงนั้นก็คือการตรัสรู้

 

โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่

คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 1

The book of the secrets 

 ( หน้า  60-69 )

Sabaidee Journey Quote No. 23

#sabaideejourneyquote