NEWS

จิตวิญญาณ คัมภีร์แห่งความเร้นลับ "พระสูตรที่ 15" | Sabaidee Journey Quote EP 22

04 May 2021

พระสูตรที่ 15

 

“ในยามที่ลมหายใจวกจากเบื้องล่างขึ้นสู่เบื้องบน และอีกครั้งหนึ่ง ใน ยามที่ลมหายใจเวียนจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง โดยผ่านช่วงพลิกผันทั้งคู่ จงตระหนักรู้” 

 

นี่ก็เช่นกัน เพียงแต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จุดเน้นในตอน นี้ ไม่ได้อยู่ที่ช่องว่าง แต่อยู่ที่ช่วงพลิกผัน ลมหายใจเข้าและออกนั้น ก่อให้ เกิดวงกลมขึ้น พึงระลึกไว้ว่าลมหายใจเข้าและออกนั้นไม่ใช่เส้นขนานสอง เส้น เรามักจะนึกถึงลมหายใจว่าเป็นเส้นขนานสองเส้น คือลมหายใจเข้า เส้นหนึ่งกับลมหายใจออกอีกเส้นหนึ่งเธอคิดว่ามันเป็นเส้นขนานกันอย่าง นั้นหรือ มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ลมหายใจเข้าก็คือครึ่งหนึ่งของวงกลม ส่วนลมหายใจออกก็คืออีกครึ่งที่เหลือนั่นเอง

 

ฉะนั้น จึงรับรู้ไว้ว่า ประการแรก ลมหายใจเข้าและออกนั้นก่อให้ เกิดวงกลมขึ้น มันไม่ได้วิ่งขนานกันเป็นเส้นตรง เพราะเส้นขนานนั้นไม่ มีวันมาบรรจบกันได้ ประการที่สอง ลมหายใจที่แล่นเข้าและแล่นออกนั้นไม่ได้แยกเป็นสองสาย แต่เป็นลมหายใจเดียวกัน มันคือลมหายใจเดียวกันแล่นเข้ามาและแล่นออกไปฉะนั้น มันจะต้อง มีช่วงพลิกผันอยู่ข้างใน มันคงจะต้องไปเวียนกลับที่ไหนสักแห่ง กล่าวคือ จะต้อง ลมหายใจเข้าเปลี่ยนเป็นลมหายใจออก มีอยู่จุดหนึ่งที่

 

เพราะเหตุใดจึงต้องเน้นที่การพลิกผันเช่นนี้ด้วยเล่า นั่นเป็นเพราะ พระศิวะทรงตรัสว่า “ในยามที่ลมหายใจวกจากเบื้องล่างขึ้นสู่เบื้องบน และ อีกครั้งหนึ่ง ในยามที่ลมหายใจเวียนจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่างโดยผ่าน ช่วงพลิกผันทั้งคู่นี้ จงตระหนักรู้ ช่างเรียบง่ายยิ่งนัก แต่พระองค์ทรง ตรัสว่าจงตระหนักรู้ถึงช่วงพลิกผัน แล้วเธอจะตระหนักรู้ในอาตมัน

 

เพราะเหตุใดถึงต้องเป็นช่วงพลิกผัน ถ้าเธอขับรถเป็น เธอคงรู้จัก เกียร์รถดี แต่ละครั้งที่เธอเปลี่ยนคันเกียร์ เธอจะต้องขยับผ่านเกียร์ว่าง ซึ่งไม่ใช่เกียร์เสียก่อน จากเกียร์หนึ่งไปเกียร์สอง จากเกียร์สองไปเกียร์สาม แต่เธอจะต้องผ่านจุดที่เป็นเกียร์ว่างอยู่เสมอ เกียร์ว่างที่ว่านั้นก็คือ จุดพลิกผันนั่นเอง ในช่วงที่เป็นจุดพลิกผันนั้น เกียร์หนึ่งจะขยับไปเกียร์ สอง และเกียร์สองจะขยับไปเกียร์สาม ในช่วงที่ลมหายใจของเธอเวียน เข้าและเวียนออก ช่วงนั้น มันจะหยุดอยู่ที่เกียร์ว่าง หาไม่แล้วมันจะไม่ สามารถเวียนออกไปได้ มันจะต้องแวะผ่านเขตที่เป็นกลางเสียก่อน

 

ในเขตที่เป็นกลางนั้น เธอจะไม่เป็นทั้งสรีระหรือวิญญาณ ไม่ใช่ ทั้งสภาพกายหรือสภาพจิต ทั้งนี้เพราะสภาพกายก็คือเกียร์อันหนึ่งของการ ดำรงอยู่ของเธอ ส่วนสภาพจิตก็คือเกียร์อีกอันหนึ่งของการดำรงอยู่ของเธอ เธอขยับจากเกียร์หนึ่งไปหาอีกเกียร์หนึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่เธอจะต้องมีจุด ที่เป็นเกียร์ว่าง ซึ่งเธอไม่ใช่ทั้งร่างกายหรือจิตใจ ในจุดที่เป็นเกียร์ว่างนั้น เธอเพียงแต่เป็นอยู่เท่านั้น กล่าวคือ เธอเป็นเพียงการดำรงอยู่ เรียบง่าย ไร้กาย และไร้จิต

 

นั่นแหละคือเหตุผลที่ต้องเน้นหนักที่ช่วงพลิกผัน มนุษย์เราเป็นประดุจเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง เครื่องจักรกลอันมโหฬารและสลับซับซ้อน ยิ่งนัก ในร่างกายและจิตใจเธอมีเกียร์อยู่มากมาย เธอไม่ตระหนักรู้ถึง กลไกอันยิ่งใหญ่ของตนเอง แต่เธอคือเครื่องจักรกลอันยิ่งใหญ่ ซึ่ง ก็ดี แล้วที่เธอไม่ตระหนักรู้ เพราะหาไม่แล้วเธอคงเป็นบ้าไปเสียก่อน ร่าง กายนั้นเป็นเครื่องจักรกลที่ยิ่งใหญ่เสียจนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าหากเราจะสร้างโรงงานแห่งหนึ่งที่มีสภาพคล้ายคลึงกับร่างกายมนุษย์แล้ว เราอาจต้องใช้พื้นที่ถึงตารางไมล์ และอาจส่งเสียงรบกวนไปได้ไกลถึง ๑๐๐ ตารางไมล์ทีเดียว

 

ร่างกายคือสิ่งประดิษฐ์ในเชิงกลไกอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ก็ว่าได้ เธอมีเซลล์อยู่นับล้านๆ หน่วย และแต่ละหน่วยก็ล้วนแต่มีชีวิต ทั้งสิ้น ฉะนั้น ตัวเธอจึงเป็นดังมหานครของเซลล์ทั้งเจ็ดสิบล้านหน่วย ในตัวเธอประกอบด้วยพลเมืองเจ็ดสิบล้านคน และทั่วทั้งเมืองกำลังเคลื่อน ตัวไปอย่างเงียบเชียบและราบรื่นยิ่งนักในแต่ละขณะ กลไกจะมีการ ทำงานอย่างต่อเนื่อง มันมีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง วิธีการเหล่านี้ จะเกี่ยวโยงอยู่กับกลไกของร่างกายและจิตใจเธอในหลายๆ จุด แต่ที่เน้น หนักอยู่เสมอ จะเป็นในจุดที่เธอแยกตัวออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของ กลไกโดยฉับพลัน จดจำตรงนี้ไว้ให้ดี มีอยู่หลายขณะในช่วงเปลี่ยนเกียร์ ที่เธอจะแยกตัวออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของกลไกโดยฉับพลัน

 

ตัวอย่างเช่น ในยามค่ำคืนช่วงที่เธอผล็อยหลับไปนั้น เธอจะ เปลี่ยนเกียร์ เพราะตลอดทั้งวันนั้น เธอต้องอาศัยกลไกอีกอย่างหนึ่ง สำหรับจิตสำนึกในยามตื่นอยู่ ดังนั้นจิตใจอีกด้านหนึ่งจึงเข้ามากระทำการ ครั้นพอเธอผล็อยหลับไป ด้านที่ว่านั้นก็หยุดทำงาน และจิตใจอีกด้าน หนึ่งก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่แทน ในจุดนั้นจะมีช่องว่างหรือจุดหมุนเวียนเกิดขึ้น เกียร์ถูกเปลี่ยนตำแหน่งไป ในยามเช้า เมื่อเธอตื่นขึ้น เกียร์จะเปลี่ยน

ตำแหน่ง ออกมา อีกครั้งหนึ่ง เธอกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ แล้วจู่ ๆ ก็มีคนพูดอะไร ที่ทำให้เธอโกรธ เธอขยับไปสู่อีกเกียร์หนึ่ง นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลง

 

หากเธอมีโทสะ การหายใจของเธอจะเปลี่ยนไป ลมหายใจเธอ จะกระชั้นเร็วและยุ่งเหยิงสั่นสะท้าน เธอจะรู้สึกอึดอัด หายใจขัดข้อง ทั่วร่างของเธอปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง หรือบดขยี้อะไรบางอย่าง นั่นแหละ อาการอึดอัดถึงจะปลาสนาการไป ลมหายใจเธอจะเปลี่ยนไป จังหวะและการหมุนเวียนของโลหิตจะเปลี่ยนไป สารเคมีอย่างหนึ่งจะถูก ปล่อยเข้า สู่ร่างกาย ระบบต่อมไร้ท่อทั่วร่างกายจะเปลี่ยนไป เธอกลับกลาย เป็นคนละคนที่เดียวในยามที่เธอมีโทสะ

 

มีรถจอดอยู่คนหนึ่ง แล้วเธอไปติดเครื่อง จงอย่าเพิ่งขยับไปที่ เกียร์ไหนๆ ทั้งสิ้น ให้ค้างอยู่ที่เกียร์ว่างเช่นนั้นก่อน รถคันนั้นจะกระชาก ตัวไม่หยุดและสั่นเทิ้มไปทั้งคัน แต่ไปไหนไม่ได้ มันจะมีอุณหภูมิเพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเวลาเธอโกรธและไม่สามารถ ทำอะไรได้นั้น ตัวเธอจะร้อนผ่าวทีเดียวกลไกกำลังเดินเครื่องเพื่อเตรียม จะวิ่งและทำอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับไม่ทำอะไรเลย ตัวเธอจะร้อนระอุทีเดียว เธอคือกลไกชนิดหนึ่ง แต่แน่ล่ะว่าไม่ใช่เพียงแค่กลไกเท่านั้น เธอยังเป็นอะไรมากกว่านั้น แต่คำว่า“มากกว่านั้น เป็นสิ่งที่จะต้องเสาะ แสวงหาให้พบ เมื่อเธอเข้าเกียร์ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในตัวเธอจะเปลี่ยนไป ช่วงที่เธอเปลี่ยนเกียร์ จะมีการพลิกผันเกิดขึ้นในจุดนั้น

 

พระศิวะทรงตรัสว่า “ ในยามที่ลมหายใจวกจากเบื้องล่างขึ้นสู่ เบื้องบน และอีกครั้งหนึ่ง ในยามที่ลมหายใจเวียนจากเบื้องบนลงสู่ เบื้องล่าง โดยผ่านช่วงพลิกผันทั้งคู่นี้ จงตระหนักรู้ ” จงตระหนักรู้ถึงช่วงพลิกผัน แต่มันจะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น ซึ่งต้องอาศัยการเฝ้ามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่พวกเราก็แทบจะไม่มีความสามารถในการเฝ้ามองเช่น นี้อยู่เลย เราไม่สามารถจะเฝ้ามองสิ่งใดได้ ถ้าฉันบอกเธอว่า “จงเฝ้ามอง ดอกไม้ที่ฉันหยิบยื่นให้เธอน” เธอจะไม่อาจเฝ้ามองมันได้ เธอจะมองดูมัน อยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเธอก็จะเริ่มคิดถึงสิ่งอื่น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ ดอกไม้ แต่ก็หาใช่ดอกไม้นั้นไม่ เธออาจจะคิดถึงเรื่องดอกไม้คิดถึง ความสวยสดงดงามของมัน แล้วเธอก็ก้าวเลยจากจุดของเธอไปไกลลิบ บัดนี้ ดอกไม้ไม่ได้อยู่ในการเพ่งพินิจของเธออีกต่อไป ขอบเขตการมอง ของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว เธออาจบอกว่ามันเป็นสีแดงสีน้ำเงิน หรือสีขาว แล้วเธอก็แล่นเตลิดไปจนกู่ไม่กลับ การเฝ้ามอง หมายถึงการดำรงอยู่โดย ปราศจากคำพูด ปราศจากถ้อยคำที่เยิ่นเย้อ หรือวาจาที่ไร้แก่นสารอยู่ ข้างใน เพียงแค่ดำรงอยู่ร่วมกับมันเท่านั้นหากเธอสามารถดำรงอยู่ร่วม กับดอกไม้ได้สักสามนาทีอย่างบริบูรณ์ โดยปราศจากการเคลื่อนไหวของจิตใจแล้ว สิ่งที่จะปรากฏขึ้นก็คือ “อานิสงส์” เธอจะเกิดความตระหนักรู้

 

ทว่า เราหาใช่ผู้สังเกตการณ์ไม่ เรามิได้ตระหนักรู้ เราปราศจาก ความตื่นตัว เราไม่สามารถใส่ใจต่อสิ่งใดได้ เราได้แต่กระโดดโลดเต้นไป มาไม่หยุดยั้ง นี่คือมรดกส่วนหนึ่งที่ตกทอดมาสู่เรา มรดกแห่งความเป็นวานรของเรา จิตใจของเราเป็นเพียงผลผลิตของจิตใจแบบวานร ด้วย เหตุนี้ เจ้าวานรจึงมุ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง มันคอยกระโจนจากตรงนี้ ไปตรงนั้นอยู่ตลอดเวลา วานรไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงยืนหยัดแน่วแน่เพียงการประทับนั่งอยู่กับที่โดย ปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ เพราะเมื่อนั้น จิตใจแบบวานรย่อมไม่ถูก ปล่อยให้ไปตามวิถีทางของมัน

 

ในญี่ปุ่น มีรูปแบบการภาวนาเฉพาะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ซาเซน คำว่า ซาเซน ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงเพียงแต่นั่งอยู่กับที่โดยไม่กระทำสิ่งใด ไม่ปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวใดๆ เราเพียงแต่นั่งนิ่งเฉยประดุจ รูปปั้น ได้ความรู้สึก ไม่ขยับเขยื้อนตัวแม้แต่น้อย แต่ไม่จำเป็นว่าต้องนั่ง นิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นอยู่เช่นนั้นเป็นปี ๆ หรอกนะ หากเธอสามารถ เฝ้ามองช่วงพลิกผันของลมหายใจได้ โดยปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ของจิตใจ เมื่อนั้น เธอจะเจาะทะลุเข้าสู่ตัวเธอเอง หรือเข้าสู่ภาวะที่พ้น ข้อจํากัดภายในจิตใจ

 

เพราะเหตุใด ช่วงพลิกผันเหล่านี้จึงได้สำคัญนัก มันมีความ สำคัญ เพราะในช่วงที่กำลังจะเวียนกลับ ลมหายใจจะปล่อยให้เธอมุ่งไป สู่ทิศทางที่แตกต่าง มันอยู่กับเธอในช่วงที่ไหลเข้ามา และจะอยู่กับเธอ อีกครั้งในช่วงที่ไหลออกไป แต่ในช่วงที่เป็นจุดพลิกผันนั้น มันไม่ได้ดำรง อยู่กับเธอ และเธอก็ไม่ได้ดำรงอยู่กับมัน ในชั่วขณะนั้น ลมหายใจมี ความแตกต่างจากเธอ และเธอเองก็มีความแตกต่างจากมัน หากลมหายใจคือชีวิต ถ้าเช่นนั้น เธอก็ได้ตายไปแล้ว หากลมหายใจคือร่างกาย ของเธอ เธอก็มิใช่ร่างกาย หากลมหายใจคือจิตใจของเธอ เธอก็หาใช่ จิตใจไม่ในชั่วพริบตานั้น

 

ฉันสงสัยว่าเธอได้เคยสังเกตหรือไม่ว่า ถ้าเธอกลั้นหายใจ จิตใจ จะหยุดชะงักลงทันที ถ้าเธอกลั้นหายใจเดี๋ยวนี้ จิตใจเธอจะหยุดชะงักลง อย่างฉับพลัน จิตใจไม่อาจจะแสดงบทบาทได้ การหยุดชะงักของลมหายใจอย่างกะทันหัน ส่งผลให้จิตใจหยุดชะงักลง เพราะอะไร คำตอบเป็น เพราะมันหลุดแยกออกจากกัน มีเพียงลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่เท่านั้น ที่เชื่อมต่อกับจิตใจและร่างกาย ส่วนลมหายใจที่ปราศจากการเคลื่อนไหวนั้น  จะหลุดแยกออกมา เมื่อนั้น เธอก็กำลังอยู่ในเกียร์ว่าง รถยนต์กำลัง เดินเครื่องเต็มกำลังอัตรา และส่งเสียงดังกระหึ่ม พร้อมที่จะแล่นตะลึง ไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าไม่ได้เข้าเกียร์ไว้ ฉะนั้น ตัวถังและกลไกของรถจึงไม่เชื่อมต่อกัน รถยนต์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มันพร้อมที่จะเคลื่อน ตัว แต่กลไกในการเคลื่อนตัวนั้นไม่ได้ถูกเชื่อมต่อเข้ากับมัน

 

เรื่องทำนองเดียวกันนี้ยังปรากฏขึ้นในช่วงที่ลมหายใจพลิกกลับ เธอจะขาดการเชื่อมโยงกับมัน ในชั่วขณะนั้น เธอจะตระหนักรู้อย่าง ง่ายดายว่า เธอคือใคร อะไรคือ “อัตภาวะ” นี้ “การดำรงอยู่ นี้คืออะไร ใครคือผู้พำนักอาศัยในเรือนกายนี้ ใครกันที่เป็นเจ้าเรือน เราเป็นเพียง เรือนพำนักหรือยังมีเจ้าเรือนบางคนอาศัยอยู่ด้วย เราเป็นเพียงกลไก หรือ ยังมีสิ่งอื่นสอดแทรกอยู่ในกลไกที่ว่านี้ ช่องว่างที่เกิดขึ้นในช่วงพลิกผันนี้ พระศิวะทรงตรัสว่า “จงตระหนักรู้” ทรงตรัสว่าให้เพียงแต่ตระหนักรู้ถึง ช่วงพลิกผัน แล้วเธอจะกลับกลายเป็นวิญญาณอันประจักษ์แจ้ง

 

โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่

คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 1

The book of the secrets 

 ( หน้า 54- 60 )

Sabaidee Journey Quote No. 22

#sabaideejourneyquote