NEWS

จิตวิญญาณ คัมภีร์แห่งความเร้นลับ "พระสูตรที่ 13" | Sabaidee Journey Quote EP 20

26 Apr 2021

พระสูตรที่ 13

“จุดมุ่งหมายและความปรารถนาดำรงอยู่ในตัวเราเช่นในบุคคลอื่น พึงรับรองเยี่ยงนี้ แลปล่อยให้สิ่งเหล่านี้แปรสภาพ”

 

อุบายวิธีนี้จะช่วยเอื้อประโยชน์ได้มากทีเดียว ยามที่เธอมีโทสะ เธอมักจะหาเหตุผลรองรับโทสะของเธอทว่าครั้นมีใครเดือดดาล เธอก็มักจะติเตียน ความเดือดดาลของเธอคือเรื่องปกติวิสัย ทว่าความเดือดดาลของผู้อื่น”เป็นความวิปริตเลวทราม” สิ่งใดก็ตามที่เธอกระทำล้วนดีงาม หรือมาตรแม้นจะมิใช่สิ่งดีงาม ก็เป็นสิ่งที่ “จำเป็นต้องกระทำ” เธอมักจะเสาะหาความชอบธรรมบางอย่างแก่มันเสมอ

 

บุคคลอื่นการกระทำเยี่ยงเดียวกันนี้ ทว่ากลับไม่ได้รับความชอบธรรมเสมอกัน หากเธอมีโทสะ เธอบอกว่ามันจำเป็นต่อการสงเคราะห์ผู้อื่น หากเธอไม่มีโทสะ ผู้อื่นอาจจะเสียคน เขาคงจะมีนิสัยไม่ดีฉะนั้น จึงเป็นเรื่อง”เหมาะควร” แล้วที่จะลงโทษเขา ทั้งนี้ก็เพื่อ”ประโยชน์”ของเขานั่นเอง ทว่ายามที่มีใครขุ่นเคืองเธอความชอบธรรมชนิดเดียวกันนี้กับใช้ไม่ได้ เมื่อนั้น เขาก็”เสียสติ”เขาก็”เลวทรามต่ำช้า”

 

เรามีมาตรฐานสองชั้น มาตรฐานหนึ่งมีไว้สำหรับตัวเราเอง ส่วนนี้มาตรฐานหนึ่งไว้ใช้กับทุกคนที่เหลือ จิตที่มีมาตรฐานสองชั้นนั้นจะดิ่งลึกลงอยู่ในห้วงทุกข์ไม่เสื่อมคลาย จิตชนิดนี้ไม่เที่ยงธรรมและตราบใดที่จิตเธอขาดความเที่ยงธรรม เธอจะไม่สามารถพบเห็นประกายแห่งสัจธรรมได้ มีเพียงจิตที่เที่ยงธรรมเท่านั้นจึงจะละทิ้งมาตรฐานสองชั้นเช่นนี้ได้

 

พระเยซูตรัสว่า” จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” นี้หมายถึงว่าจำเป็นต้องมีมาตรฐานแบบเดียวกัน อุบายวิธีนี้มีรากฐานบนแนวคิดว่าด้วยมาตรฐานเดียว”จุดมุ่งหมายและความปรารถนาดำรงอยู่ในตัวเราเช่นในบุคคลอื่น......”เธอนั้นไม่ได้วิเศษวิโส ถึงแม้ทุกคนจะคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสเต็มประดา หากเธอคิดว่าเธอประเสริฐล้ำเกินใครแล้ว จงรู้ไว้เถิดว่านี่เป็นวิธีคิดของปุถุชนคนธรรมดาทุกคน การล่วงรู้ว่าเราเป็นคนธรรมดาคือสิ่งที่พิเศษสุดในโลกนี้

 

ทว่าไม่มีใครหรอกที่พิเศษ และหากเธอล่วงรู้สิ่งนี้ เธอจะกลับกลายเป็นคนพิเศษ ทุกๆคนล้วนเป็นเช่นคนอื่นๆ ที่เหลือความปรารถนาเดียวกันที่เวียนว่อนรอบตัวเธอ ก็โฉบฉวัดอยู่รอบคนอื่นๆทว่าเธอเรียกกามารมณ์ของเธอว่าความรัก ส่วนความรักของผู้อื่นๆ เธอกลับเรียกกามารมณ์ สิ่งใดก็ตามที่เธอกระทำเธอปกป้องมัน เธอบอกว่ามันดีงาม นั่นคือเหตุผลที่เธอกระทำลงไป ส่วนเรื่องทำนองเดียวกันนี้ที่ผู้อื่นกระทำ” หาเป็นเช่นเดียวกับไม่” สิ่งนี้มิได้เกิดเฉพาะกับตัวบุคคลเท่านั้น มันยังเกิดกับเผ่าพันธุ์จนไปถึงเชื้อชาติเลยทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุให้ทางโลกทั้งมวลตกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง เพราะสืบเนื่องจากสิ่งนี้

 

หากอินเดียเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารไม่หยุดยั้ง มันเป็นไป”เพื่อป้องกันตัว “ หากจีนมุ่งเสริมสร้างกำลังทัพไม่หยุดหย่อนมันเป็นไป “เพื่อบุกโจมตี” ทุกๆรัฐบาลในโลกนี้ล้วนเลือกองค์กรทางทหารของตนว่า”การป้องกัน”ทั้งสิ้น ถ้าเช่นนั้น ใครกันเล่าที่โจมตี หากทุกๆคนล้วนป้องกันตัวแล้วใครเล่าคือผู้รุกรานหากเธอลองสำรวจลึกลงไปในประวัติศาสตร์ เธอจะไม่พบใครเลยที่เป็นผู้รุกราน แน่ล่ะว่าผู้ปราชัยคือฝ่ายทีรุกรานอย่างเห็นได้ชัด ผู้ปราชัยมักถูกระบุว่าเป็นฝ่ายรุกรานเสมอ เพราะคนเหล่านั้นไม่อาจจดประวัติศาสตร์ได้ ผู้พิชิตยอมเป็นฝ่ายจดประวัติศาสตร์

 

ไม่มีใครหรอกที่ผิดแผกกันผู้ฝ่ายมุ่งในธรรมย่อมทราบดีว่าทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกันฉะนั้นหากเธอหยิบยื่นความชอบทำให้ตัวเธอเองก็ขอได้หยิบยื่นความชอบธรรมเดียวกันนี้ให้ผู้อื่นด้วยหากเธอวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นก็ขอให้ปรับใช้การวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกันนี้กับตัวเธอเองจงอยากได้สร้างมาตรฐานสองชั้นมาตรฐานหนึ่งเดี๋ยวจะแปลเปลี่ยนภาวะของเธอโดยสิ้นเชิงเพราะมาตรฐานหนึ่งเดียวทำให้เธอมีความเที่ยงธรรมและสามารถมองตรงไปถึงความจริงได้เป็นครั้งแรก. มุ่งหมายและความปรารถนาดำรงอยู่ในตัวเราเช่นในบุคคลอื่นเพิ่งรับรองอย่างนี้แหละปล่อยให้สิ่งเหล่านี้แปดสภาพจงยอมรับสิ่งเหล่านี้แล้วสิ่งเหล่านี้ย่อมแปลสภาพ

 

พวกเรากระทำสิ่งใดเล่า เรายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในบุคคลอื่น อะไรก็ตามที่บกพร่องดำรงอยู่ในบุคคลอื่น ส่วนอะไรก็ตามที่ชอบธรรมล้วนดำรงอยู่ในตัวเธอ เช่นนั้นแล้ว เธอจะแปรสภาพได้อย่างไร เธอก็แปลสภาพอยู่แล้วนี่ เธอคิดว่าเธอดีงามอยู่แล้ว ส่วนทุกๆคนที่เหลือก็ล้วนต่ำทรามทั้งสิ้น โลกนี้แหละที่ต้องการแปรสภาพ ไม่ใช่เธอ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมักมีผู้นำ ขบวนการหรือศาสดาพยากรณ์เกิดขึ้นเสมอ คนเหล่านั้นเฝ้ากู่ตะโกนจากดาดฟ้าให้เปลี่ยนแปลงโลก ให้ก่อการปฏิวัติ และพวกเราก็ได้ลุกฮือขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

 

มนุษย์ยังคงเป็นเช่นเดิม และปฐพีก็ยังคงอยู่ในห้วงทุกข์ดุจเดิม มีเพียงโฉมหน้าและฉลากตราเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ทว่าความทุกข์ยังดำเนินไปไม่หยุดยั้ง มันไม่ใช่โจทย์ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนแปลงโลก โลกมิได้บกพร่อง เธอนั่นแหละที่บกพร่อง มันคือโจทย์ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเธอเองอย่างไรต่างหาก “จะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองอย่างไร “ นั่นคือโจทย์ทางศีลธรรม”จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นๆอย่างไร” นั่น คือเรื่องการเมือง ทว่าบรรดานักการเมืองต่างก็คิดว่าตัวเองดีไร้ที่ติอยู่แล้ว ว่ากันตามจริงแล้ว เขาคือแบบฉบับของวิถีทางที่โลกทั้งผองควรเป็น เขาคือต้นแบบ เขาคืออุดมคติ ที่สำคัญคือมันเป็นภาระหน้าที่ของเขาที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งปวง

 

สิ่งใดก็ตามที่ผู้ใฝ่ฝันมุ่งในธรรมแลเห็นในคนทุกผู้ทุกนาม เขาก็แลเห็นในตัวเองด้วย หากว่ามีความรุนแรง เขาจะนึกสนเท่ห์โดยพลัน ว่ามีความรุนแรงอยู่ในตัวเขาหรือไม่ หากว่ามีความละโมบหากเขาแลเห็นความละโมบที่ไหนสักแห่ง เขาจะคิดใคร่ครวญเป็นลำดับแรก ว่าเขามีความละโมบเช่นเดียวกันนี้อยู่หรือไม่ และยิ่งเขาเสาะหา เขาก็ยิ่งพบว่าเขาคือต้นธารแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงเมื่อนั้น มันย่อมมิใช่โจทย์ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนแปลงโลก มันคือโจทย์ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเช่นไรต่างหาก และการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มจากวินาทีที่เธอยอมรับมาตรฐานเดียว เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว

 

อย่าก่นประณามผู้อื่น ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงว่าให้ก่นประณามตัวเธอเอง หาใช่ไม่ เพียงแต่อย่าก่นประนามผู้อื่นเท่านั้น หากเธอไม่ก่นประะนามผู้อื่นแล้ว เธอจะเกิดความกรุณาอันลึกล้ำต่อคนเหล่านั้น เพราะที่คงอยู่นั่นคือปัญหาเดียวกัน หากมีใครกระทำกรรมชั่ว กรรมชั่วในทัศนะของสังคม เธอก็เริ่มประฌามเขา ไม่เคยครุ่นคิดเลยว่า เธอเองก็มีเมล็ดพันธุ์ที่จะประกอบกรรมชั่วนั้นอยู่ภายในตัว หากมีใครกระทำฆาตกรรมเธอก็ประฌามเขา ทว่าเธอมิได้คิดเข่นฆาใครบางคนหรือคิดฆาตกรรมอยู่ในเนืองๆ หรือ ไม่มีเมล็ดพันธ์แฝงฝังอยู่ตลอดเวลาเลยหรือไร ผู้ที่กระทำฆาตกรรมลงไปนั้น หาใช่ฆาตกร ณ ขณะก่อนหน้านั้นไม่ ทว่ามีเมล็ดพันธุ์ดำรงอยู่ และเมล็ดพันธุ์ก็ดำรงอยู่กับเธอเช่นกัน ชั่วขณะให้หลัง ใครเลยจะรู้ เธออาจเป็นฆาตกรก็ได้ฉะนั้น จงอย่าไปประฌามเขา สู้ยอมรับเสียจะดีกว่า เมื่อนั้น เธอจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง เพราะทุกสิ่งที่เขากระทำไป มนุษย์เราล้วนสามารถกระทำได้ ถ้ามีสมรรถนะที่จะกระทำมันได้

 

จิตที่ไม่ก่นประณามนั้นจะมีความเมตตากรุณา จิตที่ไม่ก่นประณามจะเกิดการยอมรับอย่างลึกล้ำเขาทราบดีว่านี่คือวิถีทางที่มวลมนุษย์เป็นอยู่ และ”นี่คือวิธีที่ฉันเป็นอยู่” และแล้ว โลกทั้งมวลย่อมกลายเป็นเพียงภาพสะท้อนตัวตนของเธอ มันจะกลายเป็นกระจกเงา เมื่อนั้น ทุกดวงหน้าจะกลายเป็นกระจกเงาสำหรับเธอ เธอย่อมยลดูตัวเธอเองไงทุกๆดวงหน้านั้น

 

“จุดมุ่งหมายและความปรารถนาดำรงอยู่ในตัวเราเช่นในบุคคลอื่น พึงรับรองเยี่ยงนี้ แลปล่อยให้สิ่งเหล่านี้แปรสภาพ “การยอมรับกลายมาเป็นการแปรสภาพ นี่คือสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้ เพราะเรามักปฏิเสธไม่ยอมรับเสมอ ซึ่งก็พลอยทำให้เรามิอาจปรับปรุงสิ่งใดได้ เธอมีความละโมบ ทว่าเธอปฏิเสธมัน ไม่มีใครอยากคิดว่าตัวเองโลภโมโทสัน เธอมีกามกำหนัด ทว่าเธอไม่ยอมรับมัน ไม่มีใครอยากรู้สึกถึงตัวเองว่ามีกายกำหนัด เธอกำลังขุ่นเคือง เธอมีโทสะ ทว่าเธอปฏิเสธมัน เธอรู้เนรมิตฉากหน้าขึ้น และพยายามสร้างความชอบธรรมแก่มัน เธอไม่เคยรู้สึกว่าเธอฉุนเฉียวหรือบันดาลโทสะขึ้นแล้ว

 

ทว่าการปฏิเสธไม่เคยเปลี่ยนพลิกสิ่งใดทั้งสิ้น มันเพียงแต่สะกดกลั้นไว้เฉยๆ และสิ่งที่ถูกสะกดกลั้นไว้ ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้น มันขยับย้ายสู่รากฐานของเธอ สู่จิตไร้สำนึกที่อยู่ลึกลงไปภายในตัวเธอเอง แล้วมันก็เริ่มปฎิบัติหน้าที่จากจุดนั้น และจากความมืดมิดแห่งจิตไร้สำนึก มันจะทรงพลังอำนาจยิ่งกว่าเดิม เธอไม่อาจยอมรับมันได้เดี๋ยวนี้ทันที เพราะเธอยังไม่สำนึกถึงมันด้วยซ้ำ การยอมรับจะรื้อฟื้นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา ไม่มีความจำเป็นต้องไปสะกดกลั้นไว้

 

เธอทราบดีว่าเธอละโมบ เธอทราบดีว่าเธอมีโทสะ เธอทราบดีว่าเธอมีอารมณ์กระสัน แล้วเธอก็ยอมรับสิ่งเหล่านี้เช่นข้อเท็จจริงธรรมดาโดยปราศจากจากการประฌามใดๆ ไม่จำเป็นต้องไปสะกดกลั้นมันไว้ สิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นสู่ผิวหน้าของจิตใจ และจากผิวหน้าของจิตใจนี้ มันจะถูกขจัดทิ้งไปอย่างง่ายดายยิ่ง เราไม่อาจขจัดสิ่งเหล่านี้ได้จากใจกลางอันลึกล้ำ ยามที่สิ่งเหล่านี้ปรากฏบนผิวหน้า เธอย่อมตระหนักถึงมันได้อยู่เนืองนิตย์ ทว่ายามที่สิ่งเรานี้คงอยู่ในจิตไร้สำนึก เธอย่อมไม่ตระหนักรู้ โรคร้ายที่เธอตระหนักรู้ยามรักษาเยียวยาได้ ส่วนโรคร้ายที่เธอไม่ตระหนักรู้ย่อมไม่อาจเยียวยารักษา

 

จงนำทุกๆสิ่งขึ้นสู่ผิวหน้า จงยอมรับความเป็นมนุษย์ ความเป็นเดรัจฉานของเธอ ทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นจงยอมรับมันโดยปราศจากการประฌามใดๆ มันคงอยู่ที่นั่น จงตระหนักรู้ถึงมัน ความละโมบคงอยู่ ณ จุดนั้นอย่าได้พยายามทำให้มันกลายเป็นความไม่ละโมบ เธอทำไม่ได้หรอก และหากเธอพยายามทำให้มันเป็นความไม่ละโมบแล้ว เธอจะเพียงแต่สะกดกลั้นมันเอาไว้ ความไม่ละโมบของเธอจะเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความละโมบเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่น อย่าได้พยายามเปลี่ยนให้มันเป็นอื่นเลย เธอเปลี่ยนมันไม่ได้หรอกหากเธออยากจะลองเปลี่ยนแปลงความละโมบดูแล้ว เธอจะทำฉันใดหรือ จิตอันละโมบจะถูกดูดดึงดูดเข้าหาอุดมคติของความไม่ละโมบได้ก็ต่อเมื่อ มันพอจะเป็นช่องทางให้เกิดความละโมบบางอย่างยิ่งไปกว่า

 

หากมีใครบางคนกล่าวว่า”จงสละบรรดาความมั่งมีของท่านเสีย แล้วท่านจะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” แล้วเธอก็จะอยู่กับสละทิ้งได้ นั้นย่อมเป็นช่องทางให้เกิดความละโมบยิ่งไปกว่านี้ นี่คือการต่อรอง ความละโมบจะต้องไม่กลายเป็นความไม่ละโมบ ความละโมบคือสิ่งที่จะต้องข้ามพ้นเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

 

บุคคลที่รุนแรงจะกลายเป็นคนไร้ความรุนแรงได้อย่างไร หากเธอบีบคั้นตัวเธอเองให้ปราศจากความรุนแรงแล้ว นี่กลับจะเป็นความรุนแรงต่อตัวเธอเอง เธอไม่อาจเปลี่ยนสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งได้ เธอได้แต่เพียงตระหนักรู้และยอมรับเท่านั้น จงยอมรับความละโมบเช่นที่เป็นอยู่ การยอมรับมิได้หมายถึงว่าไม่จำเป็นต้องแปรสภาพมัน การยอมรับหมายเพียงว่าเธอยอมรับข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงธรรมดาเช่นที่เป็นอยู่ครั้นแล้ว จงหยั่งล่วงสู่ชีวิตโดยซึมทราบดีว่ามีความละโมบอยู่ จงกระทำทุกสิ่งที่เธอกระทำอยู่เลยสำเหนียกรู้แก่ใจว่ามีความละโมบอยู่ ความตระหนักรู้เช่นนี้จะแปรสภาพเธอ มันจะแปรสภาพเพราะเหตุว่า เธอไม่อาจละโมบได้ทั้งๆ ที่รู้ตัว เธอไม่อาจบันดาลโทสะ ทั้งที่รู้ตัวได้

 

ความไม่รู้ตัวคือรากฐานจำเป็นสำหรับโทสะ ความละโมบหรือความรุนแรง เฉกเช่นที่เธอไม่อาจดื่มยาพิษทั้งที่รู้อยู่ได้ หรือไม่อาจยื่นมือเข้าหาเปลวเพลิงอย่างจงใจ เธอยื่นเข้าไปโดยไม่รู้ หาเธอไม่รู้ว่าเปลวเพลิงเป็นเช่นใด หรือไฟคืออะไร เธออาจยื่นมือเข้าไปในนั้น ทว่าหากเธอรู้ว่าไฟนั้นแผดเผาเธอย่อมยื่นมือเข้าไปในนั้นไม่ได้

 

ยิ่ง” ความรับรู้” ของเธอเติบใหญ่ ความละโมบก็ยิ่งกลายเป็นไฟ และโทสะ ก็ยิ่งกลายเป็นยาพิษ มันไม่มีวันดำรงอยู่ได้โดยสิ้นเชิง เมื่อปราศจากการสะกดกลั้นใดๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมอันตรธานไป และยามที่ความละโมบอันตรธานไปโดยปราศจากอุดมคติของความไม่ละโมบใดๆ แล้ว มันย่อมเปี่ยมความงดงามในตัวเอง ยามที่ความรุนแรงสลายวับโดยไม่ทำให้เธอไร้ความรุนแรง แล้วมันย่อมประกอบด้วยความงดงามในตัวเอง

 

มิฉะนั้นแล้ว บุคคลที่ไร้ความรุนแรงย่อมแฝงด้วยความรุนแรงอย่างลึกล้ำ ความรุนแรงดังกล่าวเร้นหลบอยู่ที่นั่น เธอแลเห็นภาพรำไรของมันได้จากความไม่รุนแรงของเขาอีกด้วย เขาจะยัดเยียดความไม่รุนแรงของเขาต่อตนเองและผู้อื่นในวิถีทางที่รุนแรงอย่างยิ่ง ความรุนแรงดังกล่าวกลายเป็นความกลอกกลิ้งสับปลับไปเสียแล้ว พระสูตรนี้กล่าวว่าการยอมรับคือการแปรสภาพ เพราะการยอมรับคือช่องทางให้เกิดความตระหนักรู้

 

โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่

คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 3

The book of the secrets 

 ( หน้า 101-109 )

Sabaidee Journey Quote No. 20

#sabaideejourneyquote