สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นขั้ว และจิตก็ขยับย้ายจากสภาพขั้วหนึ่งสู่อีกขั้วหนึ่ง ไม่เคยคงอยู่ในระหว่างกลางเธอเคยรู้ถึงชั่วขณะใดบ้างที่เธอทั้งไม่สุขสบายหรือเศร้าหมอง เธอเคยรู้ถึงช่วงขณะใดบ้างที่เธอทั้งไม่มีพลานามัยสมบูรณ์หรือเจ็บไข้ได้ป่วย เธอเคยสัมผัสถึงวินาทีใดบ้างที่เธอไม่เป็นทั้งสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยามที่เธอเพียงดำรงอยู่ในระหว่างกลางคงที่อยู่กึ่งกลาง ณ จุดกึ่งกลางพอดิบพอดี จิตนั้นไหลแล่นอย่างฉับพลันจากขั้วหนึ่งสู่อีกขั้วหนึ่ง หากว่าเธอเป็นสุข ไม่ช้าก็เร็วเธอก็จะบ่ายมุ่งสู่ทุกข์ และเธอจะบ่ายมุ่งไปโดยพลันความสุขจะอันตรธานไป และเธอก็จะเป็นทุกข์
หากว่าเธอกำลังรู้สึกดี ไม่ช้าก็เร็ว เธอก็จะรู้สึกแย่ อีกทั้งไม่มีจุดให้เธอแวะพักในระหว่างกลาง เธอขยับย้ายจากนี่ไปนั่นโดยพลัน เธอขยับจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย เฉกเช่นตุ้มนาฬิกาโบราณและตุ้มนาฬิกาก็แกว่งไกวไม่หยุดยั้ง กฏลับนั้นมีอยู่ว่า ยามที่ตุ้มนาฬิกาโบราณแกว่งตัวไปทางซ้ายมันดูประหนึ่งว่าจะไปทางซ้าย ทว่ามันกำลังสั่งสมแรงขับเคลื่อนเพื่อเหวี่ยงไปทางขวา ยามที่มันแกว่งตัวไปทางซ้าย มันกำลังเก็บรวบรวมพลังงานหรือแรงขับเคลื่อนเพิ่มเหวี่ยงไปทางขวา ยามที่มันแกว่งตัวไปทางขวา มันกำลังสั่งสมแรงขับเคลื่อนเพื่อเหวี่ยงตัวไปทางซ้าย ฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏแต่ตาจึงหาใช่ทั้งหมดไม่ เมื่อใดที่เธอกำลังเป็นสุข เธอกำลังสั่งสมแรงขับเคลื่อน เพื่อที่จะเป็นทุกข์ฉะนั้น ยามใดก็ตามที่ข้าพเจ้าแลเห็นเธอกำลังหัวเราะ วินาทีที่เธอจะร้องไห้ฟูมฟายก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
ตามหมู่บ้านในชนบทของอินเดีย บรรดาแม่ๆ ต่างก็รู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ ฉะนั้น เมื่อใดที่บุตรหลานเริ่มหัวเราะมากเกินควร พวกหล่อนจะกล่าวว่า” หยุดเขาเสีย มิฉะนั้น เขาาจะร้องไห้งอแง “มันจะต้องเป็นเช่นนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเด็กน้อยสุขสบายใจอย่างยิ่งยวด ก้าวต่อไปย่อมจะเป็นสิ่งใดไม่ได้นอกจากทุกข์ ด้วยเหตุนี้ พวกจึงหยุดยั้งเขาไว้ หาไม่แล้ว เขาจะเป็นทุกข์ ทว่าเรายังประยุกต์ใช้วิธีเดียวกันนี้ในทางกลับกัน ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักคุ้นเคย ยามที่เด็กน้อยร้องไห้โยเย แล้วเธอพยายามจะหยุดเขานั้น เธอไม่เพียงแต่หยุดการร้องไห้ของเขาอย่างเดียว เธอยังไปยับยั้งก้าวย่างต่อไปของเขาอีกด้วย บัดนี้ เขาไม่อาจเป็นสุขได้แล้วยามที่เด็กน้อยร้องไห้โยเย ให้ปล่อยเขาไปเถิด จงช่วยเขาร้องไห้โยเยมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้สั่งสมแรงขับเคลื่อนไว้เมื่อการร้องไห้ยุติ บัดนี้ เขาสามารถเหวี่ยงตัวไปทางขวา เขาสามารถที่จะเป็นสุขได้
ทุกวันนี้ บรรดานักจิตวิเคราะห์ล้วนกล่าวว่า ยามที่เด็กน้อยร้องห่มร้องไห้และกรีดร้อง จงอย่าหยุดยั้งเขาอย่าได้พยายามเกลี้ยกล่อมเบี่ยงเบนความรู้สึกเขา อย่าพยายามตรึงความสนใจของเขาไว้ที่จุดอื่น อย่าติดสินบนให้เขาเลิกร้อง ไม่ต้องกระทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงคงอยู่อย่างสงบเงียบใกล้ๆเขา แล้วปล่อยให้เขาสะอึกสะอื้นและกรีดร้อง เพื่อให้เขาบ่ายมุ่งสู่ความสุขได้โดยง่าย มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถร้องไห้หรือสุขสบายได้ทั้งสองอย่าง นั่นแหละคือวิถีทางที่เราทั้งหลายเป็นกัน เราไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ รอยยิ้มคือดวงใจครึ่งหนึ่ง น้ำตาก็คือดวงใจอีกครึ่งหนึ่งเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างคือความสับสนอลหม่าน
ทว่านี่แหละคือกฎธรรมชาติของจิต มันผละย้ายจากขั้วหนึ่งสู่อีกขั้วหนึ่ง อุบายวิธีนี้มีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติดังกล่าว “โอ ยอดกานดา จงอย่าได้นำพาทั้งต่อความเกษมศานต์หรือทุกข์เทวษ ทว่าในระหว่างสองสิ่งนี้” เราสามารถเลือกเฟ้นสภาพขั้วชนิดใดก็ได้และจงพยายามคงอยู่ในระหว่างกลางเท่านั้น เธอจะกระทำสิ่งใดเพื่อคงอยู่ในระหว่างกลางได้เล่า เธอจะคงอยู่ในระหว่างกลางได้อย่างไร ประการหนึ่ง เมื่อความทุกข์โศกคงอยู่ที่นั่น เธอจะกระทำสิ่งใดได้เล่า เมื่อความทุกข์โศกคงอยู่ที่นั่น เธอต้องการจะหลีกหนีจากมัน เธอไม่ต้องการมัน เธอพยายามไปให้พ้นจากมัน ความพยายามของเธอคือไปสู่ด้านตรงข้าม เพื่อที่จะเป็นสุขและปีติเบิกบานใจ
ยามที่มีความสุข เธอก็ทำสิ่งใดเล่า ความพยายามของเธอ คือยึดติดกับมันไว้เพื่อที่ว่า อีกขั้วหนึ่งจะไม่สอดแทรกเข้ามา ยึดติดกับมันไว้ ยามที่มีความสุข เธอก็ติดยึด ยามที่มีความทุกข์โศก เธอก็จะหลีกหนี นี่แหล่ะคือท่าทีอันเป็นธรรมดาโลก หากเธอปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาตินี้และข้ามพ้นมันไปแล้วยามที่มีความทุกข์โศก จงอย่าพยายามหลีกหนี ให้คงอยู่กับมันเช่นเดิม เธอจะรบกวนกลไกธรรมชาติทั้งปวง เธอมีอาการปวดศีรษะ เจ้าคงอยู่กับมันต่อไป หลับตาลงเสีย แล้วเพ่งภาวนาไปที่อาการปวดศีรษะ ให้คงอยู่ร่วมกับมัน ไม่ต้องกระทำสิ่งใดทั้งนั้น ให้เพียงเป็นสักขีพยาน อย่าได้พยายามหลีกหนี
ยามที่มีความสุขแล้วเธอกำลังรู้สึกสำราญใจเป็นพิเศษ ณ ช่วงเวลาใดๆ ก็ตาม ได้ยึดติดกับมัน จงหลับตาลงเสียแล้วเป็นสักขีพยานไปโดยตลอด การยึดติดและหลีกหนีคือเรื่องปกติวิสัยสำหรับจิตที่เคลือบคลุมด้วยธุลี หากเธอคงอยู่เป็นสักขีพยาน ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะดิ่งสู่ระหว่างกลาง เพราะกฎธรรมชาติคือการขยับย้ายสู่สภาพขั้ว สู่ขั้วตรงข้าม หากเธอเป็นสักขีพยาน เธอย่อมดำรงอยู่ในระหว่างกลาง
พระพุทธองค์ตรัสเรียกปวงปรัชญาของพระองค์ว่า” มัชฌิมาปฎิปทา” หรือทางสายกลาง เพราะสืบเนื่องจากอุบายวิธีนี้ พระองค์ตรัสว่าจงคงอยู่กึ่งกลางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสภาพขั้วอันใด ให้คงอยู่ ณ จุดกึ่งกลางเป็นนิตย์ การเป็นสักขีพยานส่งผลให้เราคงอยู่ ณ จุดกึ่งกลาง ในชั่วพริบตาที่เธอสูญเสียการเป็นสักขีพยาน เธอจะเกิดการผูกพันหรือรังเกียจเดียดฉันท์ทั้งสองอย่าง หากว่าเธอรังเกียจเดียดฉันท์ เธอจะมุ่งสู่อีกปลายขั้วหนึ่ง หากว่าเธอผูกพัน เธอจะพยายามตรึงอยู่ที่ปลายขั้วนี้ ทว่าเธอจะไม่มีวันคงอยู่ในระหว่างกลาง จงเป็นเพียงสักขีพยาน อย่าได้ไปลุ่มหลงหรือจงเกลียดจงชัง อาการปวดศีรษะนั้นคงอยู่ จงยอมรับมันเสีย มันคงอยู่ในฐานะข้อเท็จจริง อาการปวดศีรษะนั้นคงอยู่เฉกเช่นพฤกษาที่คงอยู่ เฉกเช่นบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ เฉกเช่นราตรีที่คงอยู่ จงยอมรับมันแล้วหลับตาลงเสีย อย่าได้พยายามหลีกหนีจากมัน
เธอกำลังสุขกายสบายใจ จงยอมรับข้อเท็จจริง อย่าได้ยึดติดกับมัน จงอย่าพยายามที่จะเป็นทุกข์อย่าได้พยายามทำสิ่งใดทั้งสิ้น หากความทุกข์ล่วงเข้ามา จงปล่อยมันเสีย หากความสุขล่วงเข้ามาจงยอมรับมันจงเป็นเพียงผู้เฝ้ามองบนยอดภู เพียงพินิจดูสิ่งต่างๆอรุณเบิกฟ้า แล้วสนธยาก็ปรากฏขึ้น ครั้นแล้วดวงตะวันก็ผลุดลอย จากนั้นก็ลาลับขอบฟ้า มวลดาราตลอดถึงความมืดจึงมาปรากฏ แล้วดวงตะวันก็ผุดลอยอีกครั้ง โดยมีเธอเป็นเพียงผู้เฝ้ามองบนยอดภู เธอไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ เธอเพียงแค่รู้เห็นเท่านั้นเมื่ออรุณเบิกฟ้า เธอก็กำหนดรู้ข้อเท็จจริง และเธอก็ทราบดีว่าสนธยาจะปรากฏขึ้น เพราะสนธยาเยี่ยมติดตามมากับรุ่งอรุณ และยามที่สนธยามาถึง เธอก็กำหนดรู้ข้อเท็จจริง และเธอก็ทราบดีว่า รุ่งอรุณกำลังจะมาถึงแล้ว เพราะรุ่งอรุณย่อมดำเนินไล่หลังสนธยามา
ยามที่มีความทุกข์โศก เธอก็เป็นเพียงผู้เฝ้ามองเท่านั้น เธอทราบดีว่าความทุกข์โศก เมื่อล่วงเข้ามาแล้วไม่ช้าก็เร็ว มันจะจากไปแล้วขั้วตรงข้ามจะเข้ามาแทนที่ ยามที่ความสุขบังเกิดขึ้น เธอก็ล่วงรู้ว่ามันจะไม่คงอยู่ตลอดกาล ความทุกข์จะเร้นหลบอยู่ที่หนึ่งที่ใดนี่เอง มันกำลังจะปรากฏขึ้นแล้วเธอยังคงเป็นผู้เฝ้ามองเช่นเดิม หากเธอสามารถเฝ้ามองโดยปราศจากความลุ่มหลงหรือเดียดฉันท์แล้ว เธอย่อมดิ่งลงสู่จุดกึ่งกลาง และทันทีที่ตุ้มนาฬิกาหยุดชะงัก ณ จุดกึ่งกลาง เธอจะสามารถยลดูเป็นครั้งแรกว่าโลกคือสิ่งใด
ระหว่างที่เธอซัดส่ายไปมานั้น เธอไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าโลกคือสิ่งใด การเคลื่อนไหวของเธอสร้างความสับสนอลเวงแก่ทุกสรรพสิ่ง ทันทีที่เธอหยุดเคลื่อนไหว เธอจะสามารถยลดูโลกได้ เป็นครั้งแรกที่เธอล่วงรู้ว่าความจริงคืออะไร จิตที่ไม่ซัดส่ายย่อมรู้ว่าความจริงคืออะไร จิตที่ซัดส่ายย่อมมิอาจล่วงรู้ว่าความจริงคืออะไร จิตเธอก็เป็นเช่นกล้องถ่ายรูป เธอเฝ้าขยับย้ายไปมาและเก็บบันทึกภาพไม่หยุดหย่อน ทว่าสิ่งใดก็ตามที่ล่วงเข้ามาล้วนเป็นเพียงความสับสน เพราะกล้องถ่ายรูปจะต้องไม่ขยับ หากกล้องถ่ายรูปขยับไปมา ภาพที่ได้ย่อมจะเป็นเพียงความชุลมุนยุ่งเหยิง
จิตสำนึกของเธอแกว่งซัดจากฟากหนึ่งสู่อีกฟากหนึ่ง และสิ่งใดก็ตามที่เธอล่วงรู้เกี่ยวกับความจริงล้วนเป็นเพียงความสับสนอลเวงหรือฝันร้าย เธอไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกสิ่งคือความสับสนและผิดพลาด หากเธอคงอยู่ ณ จุดกึ่งกลางและตุ้มนาฬิกาหยุดชะงักลง หากเธอมีสติจดจ่อในขณะนี้ เธอยอมล่วงรู้ว่าอะไรคือความจริง มีเฉพาะจิตที่ไม่ซัดซ่ายเท่านั้น จึงจะรู้ซึ้งว่าสัจธรรมคืออะไร
“โอ ยอดกานดา จงอย่าได้นำพาทั้งต่อความเกษมศานต์หรือทุกข์เทวษ ทว่าในระหว่างสองสิ่งนี้”
โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่
คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 3
The book of the secrets
( หน้า 96-101 )
Sabaidee Journey Quote No. 19
#sabaideejourneyquote